วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ศิลปะการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข



ในช่วงที่กระแสการออมเงินและการลงทุนกำลังมาแรง สอดรับกับสภาวะเศรษฐกิจไม่ดีอย่างเช่นในยุคนี้ ทำให้ผู้คนต่างหันมาให้ความสนใจในเรื่องเทคนิคหรือวิธีในการออมเงินอย่างไรให้ได้เงินเยอะในเวลาอันรวดเร็ว ลงทุนอย่างไรให้ได้เงินล้านภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ซึ่งหลายบทความที่มีคนหยิบยกเอาราคาของกาแฟหนึ่งแก้วมาเป็นกรณีตัวอย่างของค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย หากงดกาแฟหนึ่งแก้วต่อปี คุณสามารถลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ลงและคุณจะสามารถเอาไปลงทุนอะไรให้งอกเงยได้มากขึ้น

อันที่จริงแล้วมันก็เป็นวิธีคิดที่ดีสำหรับผู้ที่มีวัตถุประสงค์และต้องการเดินหรือบางคนอาจถึงกับวิ่งไล่ตามความฝันหรือเป้าหมายที่แต่ละคนตั้งเอาไว้เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์นั้นๆ จนหลงลืมความสุขรอบกายในทุกช่วงเวลาของชีวิตที่กำลังดำเนินไปในแต่ละวัน สังเกตได้ว่าเด็กรุ่นใหม่ไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้างที่ไม่ใช่แนวทางของตนเอง สิ่งที่ตัวเองกำลังสนใจ หรือสิ่งที่ทำให้ตัวเองบรรลุถึงเป้าหมาย ใช้ชีวิตแบบเร่งรีบเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย มองหน้าพุ่งตรงไปสู่จุดหมายปลายทางแต่เพียงอย่างเดียว

แต่ในความเป็นจริงของชีวิต ไม่ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จ และมีอีกหลายคนที่พลาดล้มขณะเดินหรือวิ่งตามทางเดินของชีวิตแต่ละคน ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ประสบการณ์และการเรียนรู้ในการใช้ชีวิตจะช่วยคุณให้ผ่านมันไปได้ สามารถล้มแล้วลุกขึ้นสู้ใหม่ได้ ขณะที่หากใครขาดทักษะในด้านนี้ ที่ตั้งหน้าตั้งตาจะพุ่งเป้าไปสู่จุดหมาย จะกลายเป็นความเสี่ยงสูงในชีวิต เพราะทั้งชีวิตอาจไม่เคยรู้จักล้มมาก่อน เลยไม่เคยได้เรียนรู้ว่าเมื่อล้มนั้นจะเป็นเช่นไร แล้วการจะลุกขึ้นออกก้าวเดินใหม่นั้นต้องทำเช่นไร

การใช้ชีวิตของมนุษย์คนเรานั้นมีทั้งทางด้านศาสตร์และด้านศิลป์ และศิลปะการใช้ชีวิตก็เป็นเรื่องที่ต้องสั่งสมประสบการณ์ หรือเรียนรู้จากคนรุ่นก่อน โดยการอ่านจากหนังสือ โดยการชมภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเรื่องจริงของบุคคลในสังคม โดยการชมสารคดีชีวประวัติของบุคคลที่น่ายกย่อง หรือโดยการได้พูดคุยกับคนรุ่นก่อน เพื่อรับรู้เรื่องราวที่เค้าเหล่านั้นผ่านมาในช่วงชีวิต ได้เรียนรู้จนจบจากมหาวิทยาลัยชีวิตในแบบฉบับของตนเอง

เพราะการมีเงินใช่ว่าจะเป็นทุกคำตอบสำหรับชีวิต แน่นอนว่าการมีเงินย่อมทำให้ชีวิตสุขสบาย แต่หาใช่ว่าจะไม่ประสบกับปัญหาด้านอื่น ดังที่เราได้รับรู้กันจากเรื่องราวตามสื่อต่างๆ หรือจากคนรู้จัก บางคนมีเงินมากล้น แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในโรงพยาบาล บางคนที่บ้านรวยมากมาย แต่ลูกกลับป่วยทางจิต พ่อแม่ต้องขับรถพานั่งตระเวนใช้ชีวิตอยู่แต่บนรถตู้ หรือบางคนรู้จักแต่วิธีหาเงินมาทั้งชีวิต พอมีเงินเก็บเงินใช้เหลือเฟือ ก็ไม่รู้ว่าการแสวงหาความสุขของชีวิตควรทำเช่นไร จนต้องกลับมาประกอบอาชีพเดิมหลังจากที่ลองหยุดไปนั่งอยู่บ้านเฉยๆ ร่วมปี

ไม่ว่าใครจะมีปัญหามากหรือปัญหาน้อยเพียงใด ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องไม่ลืมที่จะเรียนรู้ศิลปะของการใช้ชีวิตให้มีความสุขในสิ่งที่ตนเองมี ทุกสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอ เพราะแม้แต่กาแฟหนึ่งแก้ว นอกจากจะเป็นค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแล้ว แต่ยังให้อะไรได้มากกว่าแค่เพียงรสชาติของกาแฟที่คุณดื่ม ไม่ว่าจะเป็นความสุขกับบรรยากาศภายในร้านที่ตกแต่งมาเป็นอย่างดี ความสุขแห่งการรับรู้ถึงความหอมกรุ่นของกลิ่นกาแฟ ความสุขจากการได้นั่งดื่มด่ำฟังเพลงชั้นเยี่ยมภายในร้าน ว่าแล้วก็ขอตัวไปร้านกาแฟก่อนนะคะ :)

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

จะออมเงินอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า


หลังจากห่างหายการเขียนบล็อกพักใหญ่ๆ วันนี้พอส่งงานเขียนบทความเสร็จแล้ว เลยขอนำเสนอเรื่องราวว่าด้วยเรื่องเงินๆทองๆ ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของประเทศไทยในปัจจุบันต่ำเตี้ยติดดินเสียนี่กระไร จึงทำให้ใครหลายๆ คนต่างต้องศึกษาหาข้อมูลเพื่อแสวงหาผลตอบแทนสูงสุดของเงินออมของรักของหวงของเรา ที่อุตส่าห์เก็บอดออมกันมา ไม่ว่าจะหย่อนกระปุก เก็บแบงค์ 20 เก็บแบงค์ 50 ตามวิธีฮิตที่คนชอบใช้เป็นเทคนิคในการออมก็สุดแล้วแต่จะว่ากันไป

มีงานที่เคยรับเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ เลยอยากนำเอาข้อมูลที่ได้ไปค้นคว้า นำมารีไรท์ใหม่เพื่อเขียนลงบล็อกในวันนี้ แบ่งปันข้อมูลว่าปัจจุบันนี้มีช่องทางไหนที่น่าสนใจ เพื่อแสวงหาผลตอบแทนสูงสุดของเงินออมกันค่ะ

บัญชีเงินฝากออมทรัพย์

แน่นอนว่าใครหลายคนต่างต้องนึกถึงบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เป็นอันดับแรกของรูปแบบการออมทรัพย์ ที่มีกันมาช้านาน นึกถึงสมัยเด็กๆ ที่นำเอาเงินหยอดกระปุกมาฝากเข้าบัญชีธนาคารออมสิน เป็นแคมเปญในการรณรงค์เรื่องการออมเงินตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งเป็นตัวอย่างที่คลาสสิกและดีมาก แต่ปัจจุบันนี้รูปแบบบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เอง ก็มีรูปแบบที่หลากหลายมาขึ้น เพื่อปรับตัวให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น มาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง

1. เงินฝากประจำ

บัญชีนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ เพราะทุกคนคงเข้าใจกันดีว่า มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน จะ 3 เดือน หรือ 6 เดือน ก็ว่ากันไป อัตราดอกเบี้ยของประเภทนี้จะสูงกว่าออมทรัพย์ปกติ แต่จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15 % และหากถอนเงินก่อนกำหนด ก็จะเสียสิทธิในการรับดอกเบี้ยตามเงื่อนไขของธนาคาร

2. เงินฝากออมทรัพย์

บัญชีนี้เชื่อว่าทุกคนต่างต้องมีเปิดใช้กันอยู่แล้ว เพราะมีความคล่องตัวสูง จะฝากเงิน หรือถอนเงิน เท่าไหร่ เมื่อไหร่ ยังไงก็ได้ โดยทำธุรกรรมผ่านหน้าเคาน์เตอร์ของธนาคาร ผ่านตู้เอทีเอ็ม หรือจะผ่าน e-banking ก็ยิ่งสะดวกใหญ่ อันนี้แล้วแต่พฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคล

3. เงินฝากปลอดภาษี

บัญชีนี้หลายคนคงเริ่มคุ้นชินกันมากขึ้นแล้ว เพราะเป็นโครงการพิเศษสำหรับการออมเงินได้เป็นอย่างดี เพราะจะเป็นการบีบบังคับตนเองให้ต้องกันเงินส่วนหนึ่งมาเข้าบัญชีนี้ทุกๆเดือนตลอดระยะเวลาของโครงการ ไม่ว่าจะเป็น 24 เดือน หรือ 36 เดือน จะได้รับดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาในอัตราที่สูงกว่าแบบปกติ และยังได้รับสิทธิของการยกเว้นภาษีอีก้ดวย แต่มีเงื่อนไขว่าต้องไม่เกิน 600,000 บาทตลอดทั้งโครงการ และเปิดบัญชีได้ 1ชื่อ ต่อ 1 บัญชีเท่านั้น

4. เงินฝากแบบขั้นบันได

บัญชีนี้ระยะหลังแต่ละธนาคารชอบนำมาเป็นจุดขายและนำมาโฆษณาให้เห็นกันบ่อยๆ ซึ่งผู้ที่จะฝากเงินประเภทนี้ต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เพราะอัตราดอกเบี้ยที่เห็นจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่กำหนดเป็นช่วง ๆ เช่น 1 - 3 เดือน ===> 1% ต่อปี, 4 - 6 เดือน ===> 2.5% ต่อปี, 7 - 9 เดือน ===> 3% ต่อปี โดยดอกเบี้ยที่จะได้รับในแต่ละขั้นนั้น ทางธนาคารจะโอนจำนวนเงินของดอกเบี้ยที่ได้รับเข้าบัญชีออมทรัพย์ที่ได้ทำการผูกไว้กับบัญชีนี้ตั้งแต่ตอนที่เปิดบัญชีครั้งแรก ตามกำหนดระยะเวลาที่ครบกำหนด ดังนั้นดอกเบี้ยจะไม่ทบต้น

เปรียบเทียบดอกเบี้ยเงินฝากของแต่ละธนาคาร

บัญชีเงินฝากไม่ประจำ ME by TMB

อันนี้ต้องเรียกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินในรูปแบบใหม่ ที่ธนาคารทหารไทยเป็นต้นแบบนวัตกรรมของเทรนด์การเปลี่ยนแปลง ไม่จำเจ ไม่ยึดติด กับรูปแบบของธนาคารพาณิชย์แบบเดิมๆ อีกต่อไป จนทำให้บัญชีประเภทนี้ได้รับความนิยมค่อนข้างดีเลยทีเดียว เนื่องด้วยไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ชอบใช้อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวันกันอยู่แล้ว สามารถไปเปิดบัญชีครั้งแรกที่สาขาเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นก็สามารถทำธุรกรรมทางการเงินแบบออนไลน์กันได้เลย แถมไม่มีเงื่อนไขของระยะเวลาฝากเงิน หรือข้อกำหนดขั้นต่ำของเงินฝาก แถมยังมีโอกาสได้รับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (ตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของธนาคาร) หากใครสนใจสามารถคลิกดูรายละเอียดของบัญชีนี้ได้

ME by TMB

สลากออมทรัพย์

รูปแบบนี้จะเหมาะมากกับคนที่ชื่นชอบในเรื่องการเสี่ยงโชค เพราะนอกจากจะได้รับดอกเบี้ยในรูปแบบของเงินฝากแล้ว ยังจะมีโอกาสได้รับเงินหรือของรางวัลในแต่ละงวดตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของแต่ละธนาคาร ซึ่งส่วนใหญ่กำหนดระยะเวลาของสลากออมทรัพย์จะอยู่ประมาณ 3 - 5 ปี ข้อดีของสลากออมทรัพย์นี้มีหลายอย่าง เพราะนอกจากจะได้รับการยกเว้นภาษีแล้ว ยังสามารถนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ด้วย โดยสลากออมทรัพย์ยอดฮิตก็มีเพียงสองแห่งเท่านั้นที่มี ได้แก่ ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือที่เรียกสั้นๆว่า ธกส.

สลากออมสิน

สลากธกส.

พันธบัตรรัฐบาล

อันที่จริงแล้วผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทนี้ไม่ถือว่าเป็นรูปแบบการออมทรัพย์ แต่ถือว่าเป็นการลงทุนแต่หลายคนก็คงเริ่มคุ้นเคยกันบ้างแล้ว ดังจะเห็นได้จากการโฆษณาของธนาคารต่างๆ ที่เป็นช่องทางในการซื้อพันธบัตรของรัฐบาล เพราะพันธบัตรประเภทนี้มีความมั่งคงสูง และมีความเสี่ยงต่ำ ในขณะเดียวกันก็ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ โดยจะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดเมื่อครบระยะเวลา ซึ่งโดยส่วนใหญ่ประมาณ 5 ปีขึ้นไป

กองทุนรวมตลาดเงิน

อันนี้อาจไม่คุ้นสำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการซื้อกองทุนมาก่อน แต่อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นแล้วว่า ด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ไม่เร้าใจเราอีกต่อไป ทำให้ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ชาญฉลาด ต่างต้องแสวงหาสิ่งที่เร้าใจใหม่กว่า ซึ่งกองทุนรวมเป็นคำตอบที่ดี ตัวเลือกที่ใช่ สำหรับคนที่มีเงินออม แล้วไม่ได้ใช้ทำอะไรภายในหนึ่งปี สามารถนำเงินก้อนนั้นแบ่งมาลงทุนกับกองทุนรวมตลาดเงิน โดยการซื้อขายของกองทุนประเภทนี้มีความคล่องตัวสูง ไม่ต่างจากบัญชีออมทรัพย์ สามารถเปิดบัญชี และทำการซื้อขายได้ทุกวันทำการของธนาคาร โดยจะได้รับเงินหลังจากวันขายประมาณ 1 - 2 วัน และไม่เสียภาษีเหมือนเงินฝากประจำด้วย

อัตราผลตอบแทนย้อนหลัง1ปีของกองทุนรวมตลาดเงิน

กองทุนรวมตราสารหนี้ 

สำหรับกองนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ในการซื้อกองทุนรวมตลาดเงินมาแล้ว เริ่มเข้าใจคอนเซปท์ วัตถุประสงค์ และรู้จักวิธีการบริหารเงิน ยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อแสวงหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นเช่นกัน เพราะความเสี่ยงของตลาดตราสารหนี้อาจจะสูงกว่าเมื่อเทียบกับตลาดเงิน แต่อัตราผลตอบแทนของตลาดตราสารหนี้ก็จะอยู่ในระดับที่สูงกว่าตลาดเงินเช่นกัน โดยได้รับการยกเว้นภาษีเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นระยะเวลาในการลงทุนของตลาดตราสารหนี้เหมาะที่จะใช้เวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป

อัตราผลตอบแทนย้อนหลัง1ปีของกองทุนรวมตราสารหนี้

จากข้อมูลที่นำเสนอไปทั้งหมด หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางให้กันบ้างไม่มากก็น้อย ส่วนใครจะชื่นชอบรูปแบบใดมากกว่ากัน คงต้องขึ้นอยู่กับความต้องการใช้เงิน เงื่อนไขในการออม และไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ว่ารูปแบบใดจะตอบโจทย์ให้กับท่านได้มากที่สุด

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยระหว่างทริป Fukuoka และข้อมูลดีๆ สำหรับคนอยากไปแบ็คแพ็คที่ญี่ปุ่น



เปิดดูเฟซบุ๊กเช้านี้ เห็นโพสต์เก่าเมื่อปีที่แล้วแจ้งเตือนขึ้นมา ว่าปีที่แล้วมีเหตุการณ์อะไร หรือเราโพสต์อะไรไว้บ้าง เลยเห็นว่าได้เคยเขียนเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยระหว่างทริปที่ไปเที่ยว Fukuoka เอาไว้ เลยอยากเอาเรื่องนี้มาแบ่งปันกันที่ตรงนี้ค่ะ
  1. ผู้หญิงญี่ปุ่นเดินส้นสูงเก่งมาก ไม่ว่าจะขึ้น ลงบันไดในสถานีรถไฟ หรือแม้กระทั่งปั่น จักรยาน ส้นเข็มสี่นิ้วก็เห็นมาแล้ว
  2. เด็กญี่ปุ่นเดินเก่ง เดินอึด แต่เล็กๆ เพราะหากเป็นเด็กวัยที่เข้าโรงเรียนแล้ว จะเดินกันตลอด โดยที่พ่อแม่จะไม่มีอุ้มให้เลยแม้แต่น้อย 
  3. คนญี่ปุ่นเป็นชาติที่รักษาความสะอาดได้ ยอดเยี่ยมมากๆ จะเข้าห้องลองชุดยังต้อง ถอดรองเท้า สวมถุงผ้าคลุมศรีษะ และก่อนปิดร้านค้าในห้าง มีการปัดกวาดเช็ดถูด้วย 
  4. วัฒนธรรมต่อคิวเพื่อเข้าร้านอาหารยอดฮิต ก็ไม่น้อยหน้าบ้านเรา แต่ละร้านคิวยาวมากๆ และบางร้านที่ฮิต ก็ใช่ว่าจะอร่อย ร้านธรรมดา บางร้านยังจะอร่อยมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นอย่ากลัวที่จะลองร้านที่ไม่ได้กล่าวถึงในเนต 
  5. โปรดระวังว่า pocket wifi ที่เช่าไปอาจใช้ ไม่ได้ โปรดหาตัวช่วยอื่นไว้เป็นอีกoptionด้วย 
  6. คนญี่ปุ่นรักษาระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัดหากนักท่องเที่ยวไปเที่ยว ควรเรียนรู้สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำก่อนไป เพื่อไม่ถูกมองว่าเป็นนักท่องเที่ยวจีนแบบที่เราชอบบ่นกันค่ะ 
  7. อยากรู้ว่ากาญี่ปุ่นร้องยังไง ให้ดูอาราเร่ ร้องยังงั้นเป๊ะ!(นึกว่าร้องแบบนั้นแค่ในการ์ตูน) 
  8. ส่วนใหญ่คนไปที่นี่คาดหวังว่าจะได้ขึ้นรถไฟสายท่องเที่ยวขบวนพิเศษ แต่จะบอกว่า รถไฟขบวนธรรมดาบ้านเค้า ก็หรูและน่านั่ง กว่าบ้านเรามากแล้ว อีกอย่างได้เห็นวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของคนพื้นที่ระหว่างทางไปด้วย 
  9. หากจำเป็นต้องหาตัวช่วย ให้มองหาวัยรุ่นและวัยทำงานที่พอจะเข้าใจภาษาอังกฤษบางคำ หรือมิฉะนั้นเค้าก็ใช้แอพแปลภาษามาช่วย ในการสื้อสาร พอจะช่วยเราได้อยู่บ้าง 
  10. รถเมล์บ้านเค้าจะดับเครื่องกัน ทุกๆสี่แยก และจะรักษาความปลอดภัยมาก ห้ามเดินไป เดินมาระหว่างรถวิ่ง ต้องรอให้รถหยุดก่อนถึงลุกได้ 
  11. ก่อนจะนั่งรถเมล์หรือรถไฟ โปรดสังเกตว่า ไม่ได้เป็นที่นั่งสำรองให้เด็ก ผู้สูงอายุและ คนพิการ
  12. ก่อนขึ้นรถเมล์ โปรดเตรียมเหรียญให้พอดีกับค่าโดยสารที่จะปรากฎขึ้นบนหน้าจอให้เห็น แต่หากไม่พอ เค้ามีเครื่องแลกเหรียญให้ อยู่ด้านข้างคนขับ สะดวกมากๆ 
  13. เวลาขึ้นรถเมล์ อย่าลืม! หยิบตั๋วที่เครื่อง ออกตั๋วข้างๆประตูทางขึ้น รถเมล์ทุกครั้ง เป็นตัวบอกระยะสถานีที่เราขึ้นมาและ ค่าโดยสารของเรา ตอนลงก็หย่อนตั๋ว พร้อมค่าโดยสารลงในกล่องข้างๆ คนขับ 
  14. เวลาขึ้นsubway ดูสายรถไฟให้ดีว่าสายที่ เราไป ขบวนอะไร แล้วต้องเปลี่ยนสายหรือไม่ ที่สถานีไหน เปลี่ยนสายไม่เดินขึ้นก็เดินลง 
  15. สถานีชินคันเซ็น อยู่แยกกับสถานี subway และเวลาขึ้นชินคันเซ็น สังเกตุให้ดีว่า ขบวนที่จะไป รถขบวนอะไร แทรคไหน โบกี้ไหน เป็นแบบต้องจองหรือไม่ต้องจอง สูบบุหรี่ได้ หรือห้ามสูบบุหรี่ เช็คให้ดี! 
  16. ร้านค้าที่นี่จะปิดไว สามทุ่มนี่ปิดหมดแล้ว อย่าช้อปเพลิน เด๋วต้องออกจากห้างด้วยทาง พิเศษเวลาห้างปิด 
  17. วัฒนธรรมตู้หยอดเหรียญ ต้องใส่เหรียญ หรือแบงค์ไปก่อน ค่อยกดปุ่มเลือกสินค้า สินค้า จึงจะออกมา ส่วนตังค์ทอนต้องกดอีกปุ่มถึงออกมา 
  18. บานเลื่อนหน้าประตูบางร้านไม่ได้เป็นแบบ อัตโนมัติ ต้องใข้มือกดปุ่มก่อนถึงจะเปิดให้ (หน้าแตกไปเรียบร้อย T_T) 
  19. วิวัฒนาการของห้องน้ำญี่ปุ่นล้ำลึกมาก ยิ่งไปตามห้างยิ่งไฮเทค ซึ่งแต่ละที่ไม่เหมือน กันเลย อันนี้ต้องใช้กึ๋นส่วนตัวล้วนๆ สนุกดี ^^ (กลับมาใหม่ๆแทบจะใช้สายฉีดชำระไม่เป็น ;p)

แต่ขอเสริมนิดนึงว่าก่อนเดินทางควรหาโปรแกรมไปเที่ยว และวางแผนประจำวันไปเลยว่า วันนี้จะไปเที่ยวที่ไหน เดินทางเช่นไร ขึ้นรถไฟกี่ต่อ ขึ้นที่สถานีไหน ต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าหรือไม่ เพราะบางขบวนก็ต้องซื้อล่วงหน้า โดยเฉพาะกับรถไฟขบวนท่องเที่ยวพิเศษ แต่หากไม่ซีเรียส ขึ้นรถไฟขบวนไหนก็ได้ ส่วนใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อล่วงหน้า 

ในการซื้อตั๋วล่วงหน้า ส่วนใหญ่ซื้อได้ที่ JR Rail Pass ที่เป็นสถานีใหญ่เท่านั้น ไม่ใช่ซื้อได้ทุกสถานี และเวลาหรือรอบเที่ยวที่ออกก็มีระบุไว้ใน Time Table ของตารางรถไฟ ซึ่งสามารถขอได้ที่สถานี

ส่วนในเรื่องแหล่งของข้อมูลที่นำเที่ยว ขอนำมารวบรวมลิงค์ไว้ ณ ที่ตรงนี้เผื่อเป็นประโยชน์กับมือใหม่ที่อยากลองแบ็คแพ็คญี่ปุ่นกันดู เที่ยวญี่ปุ่นไม่ยากอย่างที่คิด แต่สำหรับมือใหม่ขอแนะนำให้ไปเที่ยวเมืองท่องเที่ยวที่ไม่ใช่เมืองหลวงเสียก่อน เพราะจะง่ายและสะดวกต่อการเดินทางที่ประเทศญี่ปุ่น ทำความรู้จักและคุ้นชินกับการเดินทางเสียก่อน ซึ่งพอได้รับประสบการณ์แล้วหลังจากนั้นก็ลุยต่อได้เลยค่ะ : )

คลังข้อมูลเที่ยวญี่ปุ่น ณ พันทิป

The Best Guide Book

Trip Advisor

Lonely Planet 

เที่ยวญี่ปุ่นดอทคอม

ทริปท่องเที่ยวแนวครอบครัว 

เปรียบเทียบราคาสายการบิน

Jetstar Airline

Timetable Railway in Japan

ร้านค้ายอดฮิตที่ต้องรู้จักก่อนไปญี่ปุ่น

ข้อมูลดีๆก่อนเลือกซื้อตั๋วเครื่องบินและตั๋วรถไฟ

ไปญี่ปุ่นแต่งตัวยังไงสำหรับสาวๆโดยเฉพาะ

ทริปญี่ปุ่นสำหรับสาวมุ้งมิ้ง

ขนาดและน้ำหนักของกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่อง

Weather Forecasts

 ***มารยาทเล็กๆน้อยๆที่ควรรู้ก่อนไปเที่ยวญี่ปุ่น***

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***
 

วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ชาวฟรีแลนซ์ก็กู้เงินได้แล้วนะรู้ยัง



วันก่อนมีโอกาสรับเขียนบทความเกี่ยวกับการกู้เงิน แบบไม่มีหลักประกัน ซึ่งน่าจะมีประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่ได้ทำงานประจำ หรือที่เรียกว่า ฟรีแลนซ์ เลยอยากนำมาแบ่งกันให้ทราบค่ะ

สำหรับชาวฟรีแลนซ์ที่กำลัง มองหาแหล่งเงินกู้เพื่อมาเสริมสภาพคล่อง หรือเพื่อนำไปประกอบอาชีพ หรือประกอบธุรกิจนั้น เนื่องด้วยชาวฟรีแลนซ์ไม่ได้มีรายได้ประจำเหมือนพนักงานประจำ ไม่มีเงินเดือนที่จะเข้ามาในแต่ละเดือน ทำให้ทางธนาคารส่วนใหญ่จะคิดว่า เป็นความเสี่ยงทางความสามารถในการชำระหนี้ ว่ารายได้ของท่านนั้นจะสามารถมาชำระหนี้ในแต่ละเดือนหลังจากกู้ไปแล้วไหว หรือไม่ ซึ่งนั่นจึงทำให้เป็นข้อจำกัดในการกู้เงินของชาวฟรีแลนซ์อยู่พอสมควร รวมไปถึงส่วนใหญ่จะไม่มีหลักประกันในการกู้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือหลักทรัพย์ต่างๆ ทำให้ต้องเสาะหาตัวช่วยที่จะเป็นทางเลือกในการกู้เงินแบบไม่ต้องใช้หลัก ประกันในการขอกู้ เช่นสินเชื่อส่วนบุคคล เรามาดูกันว่าประเภทของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ชาวฟรีแลนซ์สามารถกู้ได้มีอะไร กันบ้าง

  1. สินเชื่อส่วนบุคคลกับธนาคารพาณิชย์

    หรืออาจเรียกว่าสินเชื่อเงินสด หรือสินเชื่ออเนกประสงค์ของธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ซึ่งสินเชื่อประเภทนี้จะค่อนข้างใช้ระยะเวลาในการพิจารณาไม่นาน เนื่องจากไม่มีเงื่อนไขหลักประกันในการขอกู้ และวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่จะกู้เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ ประกอบธุรกิจ เสริมสภาพคล่อง แหล่งเงินทุน หรือแม้แต่นำไปใช้เพื่ออุปโภคและบริโภคส่วนบุคคล โดยหลักเกณฑ์ทั่วไปจะให้วงเงินสูงสุดไม่เกิน 5 เท่าของรายได้  โดยอาจพิจารณาจากรายได้ที่แสดงการเดินบัญชีตัวเลขเข้าออกในแต่ละเดือน มาเป็นหลักฐานทางการเงินอย่างหนึ่ง ดังนั้นหากว่าใครที่คิดว่าอยากจะทำวงเงินกู้กับทางธนาคารไหน ควรเปิดบัญชีและทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารนั้น เพื่อจะได้มีหลักฐานทางการเงินแสดงยอดเงินเข้าออกระหว่างเดือน เป็นหลักฐานที่ชัดเจนและทำให้ธนาคารพิจารณาอนุมัติได้ง่ายขึ้นกว่าไม่มีหลัก ฐานทางการเงินใดๆไปแสดงเลย หรือหากเป็นเจ้าของธุรกิจ อาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติมระบุว่า ต้องดำเนินธุรกิจปัจจุบันเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 2 - 3 ปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทนี้ต้องทำใจว่าอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูงกว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปกติ ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 20 - 28 %
  2. โครงการสินเชื่อพิเศษกับธนาคารของรัฐ 

    เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เพราะว่าธนาคารเหล่านี้มักจะออกรูปแบบโครงการเพื่อเป็นการสอดรับกับนโยบาย ต่างๆ ของรัฐบาลที่ต้องการออกกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในช่วงนั้นๆ ซึ่งโดยมากโครงการเหล่านี้มักจะจำกัดสิทธิให้เฉพาะกับข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ แต่ในบางกรณีก็มีโครงการพิเศษสำหรับประชาชนโดยทั่วไปด้วย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของโครงการสินเชื่อพิเศษเหล่านี้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำกว่า อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อทั่วไป ดังนั้นผู้ที่กำลังคิดจะกู้เงิน อาจต้องติดตามข่าวสารจากธนาคารเหล่านี้เพื่อประกอบการพิจารณาก่อนตัดสินใจ เลือกกู้เงินกับสถาบันการเงินใด
  3. นาโนไฟแนนซ์ 

    คำนี้อาจยังใหม่ และไม่คุ้นหูสำหรับคนส่วนใหญ่นัก เพราะเพิ่งมีเมื่อไม่นานนี้เอง เป็นมาตรการร่วมมือกันระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนที่เป็นพ่อค้าแม่ขายโดยเฉพาะ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในกฎหมายได้สะดวกและง่ายดายขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาก่อหนี้นอกระบบ ที่เข้าใจกันดีว่าเวลาทวงหนี้นั้นมหาโหดกันเช่นไร โดยการกู้ประเภทนี้ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่มีแหล่งรายได้ชัดเจน รวมถึงใครที่ติดเครดิตบูโรก็สามารถกู้กับธุรกิจประเภทนี้ได้ โดยกำหนดวงเงินกู้ไว้ไม่เกิน 1 แสนบาทในแต่ละราย แต่บริษัทที่ประกอบธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ได้นั้นต้องได้รับการอนุมัติจากธนาคาร แห่งประเทศไทยก่อนทำธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 5 ราย สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้นใกล้เคียงกับประเภทที่ 1 โดยอาจจะสูงกว่าเล็กน้อยแล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละธุรกิจนั้นๆ
            ลิสต์รายชื่อของบริษัทธุรกิจนาโนไฟแนนซ์
        
แต่ ทั้งนี้ขอให้แน่ใจว่าท่านจำเป็นต้องใช้เงินที่กำลังจะขอกู้จริงๆ นำไปเพื่อเสริมสภาพคล่อง นำไปเพื่อประกอบอาชีพ หรือประกอบธุรกิจ มิได้นำไปเพื่อใช้จ่ายอุปโภคหรือบริโภคส่วนตัว เพราะนั่นเท่ากับว่ายิ่งทำให้ภาระหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก เพราะหากว่ายิ่งเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น ก็อาจทำให้เกิดปัญหาการใช้เงินเกินตัว ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตหากว่าไม่มีเงินมาชำระภาระหนี้ที่สร้างขึ้น ไว้ในแต่ละเดือน ยิ่งยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ การรู้จักใช้ รู้จักประหยัด รู้จักอดออม รวมถึงการดำเนินชีวิตโดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Portfolio: ภาพประกอบคำ

อย่างที่ทราบกันแล้วว่าช่วงนี้รับเป็นแอดมินดูแลเพจสตูดิโอถ่ายภาพแห่งหนึ่ง ซึ่งโดยวางโครงงานไว้ว่าหนึ่งวันจะโพสต์ภาพประกอบคำ และบทความที่เกี่ยวกับแม่และเด็ก ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านการพัฒนาทักษะ ประโยชน์ทางโภชนาการของคุณน้องๆหนูๆก็ตาม

ซึ่งตอนแรกที่มีคนติดต่อว่าจ้างมาพอรู้ว่าต้องทำเรื่องเกี่ยวกับเด็ก มีอึ้งเล็กน้อย เพราะส่วนตัวไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตคลุกคลีกับเด็กสักเท่าไหร่นัก แต่พอมาค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมก็พอจะเข้าในคอนเซปท์ของแม่และเด็ก ซึ่งก็พยายามทำออกมาให้ดีตามหน้าที่ที่ได้รับว่าจ้างไว้

ในเรื่องของการเขียนบทความยอมรับว่าเป็นการทำตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ ไม่ค่อยอินสักเท่าไหร่ ก็เขียนแนวให้ความรู้เหมือนลักษณะงานเขียนบทความทั่วไปที่รับทำอยู่ แต่ส่วนที่สนุกคือการทำภาพประกอบ เพราะเข้าทาง ได้ใช้ทักษะทางด้านแต่งภาพ หาคำ แต่งตัวอักษร ตามจินตนาการของเราอย่างเต็มที่

จะว่าไปศาสตร์ในด้านการถ่ายภาพ ที่เค้าว่าเป็นทฤษฎีการวาดภาพด้วยแสง แต่ศาสตร์ในด้านการตกแต่งภาพ ต้องใช้จินตนาการล้วนๆ ขึ้นอยู่กับภาพนั้นๆจะส่งอารมณ์และความรู้สึกให้ออกมาเป็นเช่นไร หาคำพูดประกอบให้เข้ากับเรื่องราวในภาพ รวมไปถึงการเลือกรูปแบบดีไซน์ของตัวอักษร และกราฟฟิคประกอบภาพบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อเพิ่มจุดสนใจในภาพให้โดดเด่นมากขึ้น ซึ่งชอบมากเป็นการส่วนตัว

ภาพพื้นหลังเหล่านี้เป็นภาพจากเวบช่างภาพใจดีแจกฟรีให้เอาไปใช้ได้โดยไม่ติดลิขสิทธิ์ หรือที่เรียกว่า Free License แล้วนำมาแต่งภาพเพิ่มเติม พร้อมหาคำพูด เลือกใช้รูปแบบดีไซน์ของตัวอักษรและกราฟฟิคเพิ่มเติม โดยต้องเสาะแสวงหาโปรแกรมที่ใช่สำหรับสไตล์เรา

เพราะแต่ละโปรแกรมก็มีจุดดีจุดเด่นกันไปตามแต่ละแบบ ซึ่งบางภาพอาจใช้ถึง 2 - 3 โปรแกรมเพื่อให้ตรงใจตามที่ตั้งใจไว้ บางคนอาจมีสไตล์ส่วนตัว แต่โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนมีความหลากหลายทางอารมณ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเป็นข้อดีในการแต่งภาพให้ออกมามีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น

ภาพเหล่านี้เป็นภาพโพสต์รายวัน ที่โพสต์แล้วก็ผ่านไป เลยขอรวบรวมนำภาพเหล่านั้นมาไว้ ณ ที่ตรงนี้ เพราะกว่าจะได้แต่ละภาพใช้เวลาทำพอสมควร เรียกว่าสมมติค่าจ้างต่อภาพ 100 บาท ทำให้ 500 บาทเลย เพราะอย่างที่บอกไปว่าทำแล้วสนุก ยิ่งทำยิ่งมันส์ในอารมณ์ (ผู้ว่าจ้างชอบหรือไม่ไม่รู้ รู้แต่ว่าคนทำชอบ...ฮา)
 
หากใครชื่นชอบภาพข้างล่างนี้สามารถนำไปโพสต์ต่อกันได้ และจะขอบคุณมากหากเขียนเครดิตลิงค์ที่มาของพื้นที่ตรงนี้กันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ^^










________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เทคนิคในการถ่ายเด็กแรกเกิดแบบล้ำๆไม่ซ้ำใคร



มาต่อกันเลยกับเทคนิคในการถ่ายภาพที่เขียนถึงเรื่องนี้มาสองวันแล้ว หากใครยังไม่ได้อ่าน สามารถกลับไปอ่านย้อนหลังกันได้นะคะ ส่วนวันนี้ขอนำเสนอไอเดียแบบเริ่ดๆ ทั้งสองแบบกับภาพเด็กแรกเกิด ไปดูกันค่ะว่ามีเทคนิคอย่างไรกันบ้าง

  • สำหรับใครที่กำลังเป็นคุณแม่ท้องโต หรือมีกำหนดใกล้คลอดในไม่กี่เดือนนี้ คุณแม่สามารถบันทึกภาพช่วงขณะที่ท้องกำลังโต โดยภาพถ่ายอาจเป็นภาพขณะกำลังนอนโดยถ่ายเน้นเฉพาะช่วงท้องเหมือนในภาพตัวอย่าง หรือจะเป็นในอิริยาบถอื่นๆ แทน เพื่อนำมาประกอบกับภาพหลังคลอด อาจจะเป็นช่วงที่ลดน้ำหนักจนได้ที่สักระยะ เพื่อความมั่นใจในการถ่ายภาพ โดยที่คุณแม่อุ้มลูกน้อยมาถ่ายภาพด้วย และควรเป็นภาพในมุมมองลักษณะเดียวกันกับภาพก่อนคลอด เพื่อเป็นการเล่าเรื่องด้วยภาพแบบ Before & After กับการเป็นคุณแม่ก่อนคลอดและหลังคลอดแล้ว จนมีเจ้าตัวน้อยลืมตาออกมาดูโลกกว้างใบนี้ และหากว่ามีตัวอักษรที่เป็นของเล่น หรือไวท์บอร์ดมาเขียนชื่อลูกน้อย เพื่อเป็นพร็อพประกอบฉากและยังเป็นการเพิ่มเรื่องราวเขียนชื่อลูกน้อยของคุณลงไปในรูปให้มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นได้อีกด้วยค่ะ 

        Credit : flashedbystarla.com


  • ส่วนอีกภาพเป็นไอเดียในการถ่ายภาพเด็กแรกเกิดที่สุดแสนจะครีเอทมากๆ พร้อมบอกรายละเอียดของคุณลูกได้ด้วยภาพเพียงใบเดียวในแบบเกร๋ๆ แถมยังสามารถพิมพ์ภาพแจกเป็นที่ระลึกสำหรับเพื่อนๆญาติๆที่มาเยี่ยมกันได้ อีกด้วยนะคะ โดยสามารถหาสิ่งของใกล้ตัวที่บ้านคุณนำมาประกอบการเล่าเรื่องในภาพถ่าย ไม่ว่าจะเป็น ชื่อเจ้าตัวน้อย เพศ วันเดือนปีเกิด น้ำหนัก ส่วนสูง และยังสามารถครีเอทสไตล์ตามความชื่นชอบของคุณพ่อคุณแม่ลงไปได้อีกด้วย ไม่ว่าจะสายฮิปสเตอร์ สายหวานเจี๊ยบ สายหวานซ่อนเปรี้ยว หรือสายหล่อล้ำทันสมัย ก็จัดไปตามใจชอบ

        Credit: alphabetmonkey.com.au


หวังว่าเทคนิคเล็กๆน้อยๆที่ได้รวบรวมนำมาฝากกันตรงนี้ จะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ลองไปทำตามกันดูนะคะ และขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับว่าที่คุณพ่อคุณแม่ด้วยคร่าาา ^^

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

5 เทคนิคในการถ่ายรูปครอบครัวแบบกิ๊บเก๋



หลังจากเมื่อวานแนะนำเทคนิคในการถ่ายภาพเด็กกันแล้ว วันนี้ขอนำเสนอไอเดียในการถ่ายรูปครอบครัว ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน หรือมีทริปไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ก็สามารถนำไอเดียต่างๆเหล่านี้ไปใช้กันได้ค่ะ

  1. ถ่ายรูปมือประสานทั้งครอบครัว  

    ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ และลูกน้อย โดยโฟกัสเฉพาะมือ โพกัสเฉพาะหน้า หรือจะกอดซ้อนกัน โดยซ้อนต่อกันเป็นชั้นๆ เพื่อสื่อถึงสายใยความรักความผูกพันระหว่างครอบครัว 
  2. นำภาพในแต่ละช่วงอายุมารวมเป็นภาพเดียว 

    ผ่านกรอบรูปในแต่ละเฟรม เพื่อบอกเล่าถึงความเป็นตัวตนของคนคนนั้นในแบบที่กิ๊บเก๋มาก
  3. ถ่ายภาพเงาสะท้อนครอบครัว 

    โดยอาจมีอุปกรณ์เสริม เช่น รองเท้า แว่นตา หรือ หมวก เพื่อบ่งบอกตัวตนของแต่ละคนผ่านเงาสะท้อนในน้ำ หรือเงาของแสงแดด ณ ริมชายหาด
  4. ถ่ายเฉพาะส่วนแล้วนำมาต่อกันในภาพเดียวกัน 

    เช่น ถ่ายช่วงหน้า ถ่ายช่วงมือ ถ่ายช่วงเท้า นำมาประกอบผ่านในแต่ละเฟรม ก็จะได้ภาพบุคคลเต็มส่วนในแบบเกร๋ๆ
  5. เล่นกับพร็อพประกอบฉาก 

    อาจเป็นไวท์บอร์ดสักอัน แล้วเขียนคำบรรยายประกอบสถานที่ หรือคำบรรยายบ่งบอกความรู้สึก เพื่อเก็บภาพความทรงจำดีๆ ของครอบครัว

เพียงเท่านี้คุณก็จะมีภาพครอบครัวที่น่ารัก น่าประทับใจ โดดเด่น มีสไตล์ ในแบบที่ไม่เหมือนใคร และนำมาอวดเพื่อนๆในโซเชียลเน็ตเวิร์คกันได้อีกด้วยค่ะ

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

6 เทคนิคในการถ่ายภาพเด็กแบบมีสไตล์


พอดีว่าช่วงนี้รับเป็นแอดมินแฟนเพจของสตูดิโอถ่ายภาพเด็กอยู่ที่หนึ่ง เลยมีโอกาสได้ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคในการถ่ายภาพเด็ก และถ่ายภาพครอบครัว วันนี้เลยอยากจะนำเสนอทริคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากลองเป็นตากล้องมือใหม่ อยากเก็บภาพความประทับใจกับทุกช่วงเวลาดีๆของคุณหนูๆมาฝากกันค่ะ

  1. ถ่ายภาพในแบบธรรมชาติ 

    ปล่อยให้เด็กได้เป็นไปตามธรรมชาติของเค้า เพราะความเป็นธรรมชาติของเด็กนี่ล่ะค่ะ ที่เป็นเสน่ห์ ปล่อยให้เค้าเล่นไป แล้วรอเก็บภาพให้ช่วงจังหวะเวลาดีๆ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเก็บภาพประทับใจของเค้าได้โดยง่าย

  2. ถ่ายภาพด้วยมุมมองในระดับเสมอพื้น

    ลองปล่อยให้เด็กได้เล่นกับพื้น เช่นพื้นหญ้าในสนามบ้าน หรือพื้นห้องนอน แล้วถ่ายภาพเค้าจากมุมต่ำ คุณจะแปลกใจกับผลลัพธ์ที่ได้ภาพ
  3. ถ่ายภาพจากในห้องนอน 

    อาจเป็นช่วงเข้านอน หรือหลังตื่นนอน ลองเอาผ้าห่มสีสันสดใสมาคลุมเด็กให้เหลือเฉพาะหน้าและตัวช่วงบน ลองหามุมสวยๆระหว่างที่เค้าเล่นกับผ้าห่ม เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ภาพในมุมที่น่าสนใจมากขึ้น
  4. ถ่ายภาพในระหว่างเล่น

    ลองถ่ายภาพเด็กในระหว่างที่เค้ากำลังเล่นกับของเล่นชิ้นโปรด หรือกำลังกอดตุ๊กตาตัวโปรด เพื่อคุณได้เก็บภาพเค้าในอิริยาบถที่ผ่อนคลายและดูเป็นธรรมชาติ
  5. ถ่ายภาพในระหว่างทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

    ลองถ่ายภาพเด็กในช่วงที่เค้าทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่บ้าน เช่น ตอนทำการบ้าน ตอนระบายสีภาพวาด ตอนฝึกหัดวาดเขียน อาจเรียกให้เค้าหันหน้ามามองกล้องบ้างเป็นบางครั้ง เพียงเท่านี้ก็ทำให้คุณได้เก็บภาพสวยๆ ในช่วงจังหวะเวลาดีๆ
  6. ร้อยเรียงเรื่องราวด้วยสมุดภาพ Scrapbook

    หากว่าพยายามถ่ายภาพลูกเท่าไหร่ แต่ไม่เคยจับภาพจังหวะลูกได้ทัน ทำให้ภาพที่ได้อาจมีแค่ช่วงหน้า ช่วงตัว ช่วงแขน หรือ ช่วงขา อย่าเพิ่งลบรูปเหล่านั้นทิ้งไป เพราะว่าคุณสามารถนำภาพเหล่านั้นมาปะติดปะต่อร้อยเรียงเรื่องราวได้ใหม่ ในสไตล์ Scrapbook หรือสมุดภาพ ที่สามารถทำในคอมพิวเตอร์ มือถือ หรือ แม้กระทั่งสมุดภาพที่ทำด้วยกระดาษ นอกจากนี้ยังสามารถชวนคุณน้องๆหนูๆมาช่วยตัดแปะในสมุดภาพ เพื่อฝึกทักษะด้านศิลปะ ต่อยอดจินตนาการ แถมยังเป็นกิจกรรมสานสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว และช่วยหันเหความสนใจจากหน้าจอมือถือสมาร์ทโฟนได้อีกทางหนึ่งด้วยค่ะ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์และให้คุณพ่อคุณแม่ได้มีภาพประทับใจ ลองนำไปใช้กันดู ในทริปครั้งหน้า ไม่ว่าจะเป็นทริปต่างจังหวัด ทริปต่างประเทศ ที่แม้แต่อยู่ที่บ้านกันนะคะ

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วิธีโพสต์ภาพลง Facebook แบบเกร๋ๆ



วันอาทิตย์เช่นนี้ขอนำเสนอเรื่องเบาๆ กับไอเดียกิ๊บเก๋ ในการโพตส์ภาพลงเฟซบุ๊กส่วนตัวที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในเพจของตากล้องด้วยกันในตอนนี้กันค่ะ

  • อันดับแรกใช้โปรแกรมตกแต่งภาพในคอมพิวเตอร์ เช่น PhotoScape หรือแอพในมือถือก็ได้ เช่น PicsArt มากำหนดสัดส่วนของภาพให้เป็นอัตราส่วน 1 : 1 เหมือนภาพที่แสดงใน Instagram โดยในที่นี้กำหนดไซส์ ให้มีขนาด 996 x 996 พิกเซล เพื่อความเข้าใจง่ายนะคะ

  • ตัดแบ่งภาพที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นสองภาพด้ายซ้ายมือ โดยกำหนดไซส์ให้มีขนาด 498 x 498 พิกเซล (อัตราส่วน 1:1)

  • ตัดแบ่งภาพที่ 3, 4, และ 5 ซึ่งเป็นสามภาพด้านขวามือ โดยกำหนดไซส์ให้มีขนาด 498 x 332 พิกเซล (อัตราส่วน 2:3)
  
  • อันดับสุดท้าย อัพโหลดรูปลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวของท่าน โดยอัพโหลดภาพตามลำดับที่ได้เรียงเอาไว้ในภาพ

เพียงเท่านี้ ภาพที่ปรากฎหลังอัพโหลดภาพทั้ง 5 ภาพลงไปแล้ว ก็จะได้ภาพออกมาเหมือนกับภาพต้นฉบับเดิมก่อนตัดแบ่ง หรือใครที่เข้าใจคอนเซปท์ของการตัดแบ่งภาพ สามารถกำหนดขนาดพิกเซลเองได้เลยตามอัตราส่วนและขนาดที่เหมาะสม



ขอบคุณเจ้าของไอเดีย: #By_Jack_Veerasak_facebook_jacknawa


หรือหากใครที่ไม่ชำนาญในการเรื่องการตัดแบ่งภาพ แต่อยากลองเล่นกับเค้าดูบ้าง 
เรามีตัวช่วยตัดต่อภาพให้อัตโนมัติกับเวบนี้ค่ะ


ทำภาพใหญ่เป็นภาพชิ้นส่วนต่อกันเก๋ๆ บน Facebook

เพียงเท่านี้คุณก็มีจะรูปภาพไปโพสต์อวดเพื่อนใน Facebook แบบเกร๋ๆ ลองไปเล่นกันดูนะคะ ^^ 


________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Facebook Live สายดาร์ค



ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักกับ Facebook Live  หรือการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook กันแล้ว จริงๆ แล้วฟีเจอร์นี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำการตลาดในยุคดิจิตอล หรือที่เรียกว่า digital marketing online เพราะทางเจ้าของบรรดาผู้ผลิต หรือเจ้าของแบรนด์ต่างๆ สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ ผู้บริโภคสามารถเข้ามาคอมเมนท์กับเรื่องนั้นๆ ได้ทันท่วงที และเป็นยังเป็นการเช็คเรทติ้งให้กับทางเจ้าของแบรนด์ได้ทราบว่า กระแสได้รับความนิยมมากน้อยแค่ไหน ในขณะที่กำลังถ่ายทอดสดอีกด้วย ซึ่งมั่นใจว่าในอนาคตหลายแบรนด์คงต้องหันมาใช้ฟีเจอร์นี้กันแทบทั้งนั้น

สิ่งที่เหมาะกับการทำการตลาดผ่าน Facebook Live นั้นมีด้วยกันอยู่หลายประการ อาทิเช่น ถ่ายทอดสดงานอีเวนท์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือจะเป็นการสัมภาษณ์พิเศษคนดัง  ส่วนหากเป็น ดารา หรือ เซเลบริตี้แถวหน้าของเมืองไทย ก็เป็นการถ่ายทอดสดตัวเองระหว่างออกงานอีเวนท์นั้น ๆ เล่าความรู้สึก ความประทับใจในงาน พาชมเบื้องหลังงาน อาจสัมภาษณ์เพื่อนร่วมวงการด้วยกันเอง

หรือจะถ่ายทอดชีวิตประจำวันแบบชิลชิล ว่าวันนี้ไปทำอะไรที่ไหน หรือแสดงทัศนคติต่อกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน รับรองเรียกเรทติ้งได้กระฉูด ส่วนหากเป็นแนวสอน ไม่ว่าจะเป็นการสอนภาษา สอนการถ่ายรูป สอนการแต่งหน้า สอนการทำอาหาร สอนการใช้โปรแกรม สอนเทคนิคการตกแต่งภาพ เหมาะอย่างยิ่งกับการสอนกันแบบสดๆ เข้าใจว่าตรงนี้พี่มาร์คคงต้องการดึงส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่งหลักในเรื่องนี้ เพราะความนิยมอันโด่งดังของ YouTube ในเรื่องของ How to นั่นเอง

ทั้งนี้ทั้งนั้นนอกจากมีด้านดีที่สร้างสรรค์สำหรับวงการโฆษณา บันเทิง โปรโมทสินค้าและบริการของแบรนด์ตัวเองกันแล้ว Facebook Live ยังมีด้านร้ายด้วยเช่นกัน หากว่าฟีเจอร์นี้ไปอยู่ในมือของคนไม่ดี คนที่อยู่ในสายดาร์ค ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คงต้องเป็นเรื่องของใครบางคนที่พยายามทำตัวเองให้กลายเป็นคนสำคัญขึ้นมาในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค ด้วยการถ่ายทอดสดกับการพยายามฆ่าตัวเอง

แล้วยังจะเป็นแหล่งรวมของเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ต่างๆ เช่น ฉายภาพยนตร์ดังชนโรง ซึ่งยังไม่นับรวมถึงการโชว์สดในเรื่องของสิ่งไม่ดีและผิดกฎหมาย ในเรื่องสิ่งเสพติด เรื่องเพศ และเรื่องความรุนแรง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างเป็นปัญหาในสังคมไทยบ้านเรา โดยเฉพาะวัยรุ่นที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ และนับวันจะยิ่งก่อปัญหาที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าการเสพสื่อเหล่านี้มีแรงกระตุ้นอย่างดี

ซึ่งหากว่าใครๆ ก็สามารถใช้เครื่องมือ Facebook Live เพื่อให้ตัวเองเป็นคนดังในทางที่ผิด ทำอะไร ยังไงก็ได้ โดยไม่แคร์ว่าจะถูกหรือผิด ขอเพียงให้เรียกเรทติ้งได้สูง ให้คนเข้ามาชมกันเยอะๆ ได้เป็นคนดังในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คเพียงแค่ชั่วข้ามคืน ไม่อยากจะมองโลกในแง่ร้ายมากนัก แต่ภาพยนตร์หลายๆ เรื่องก็นำเสนอประเด็นนี้ให้เราให้เห็นกันอยู่หลายครั้ง อย่างเช่นในเรื่อง 13 เกมสยอง, The Condemned หรือ Battle Royale

เรื่องนี้เป็นเรื่องดาบสองคมที่พ่อแม่ และผู้ปกครองควรต้องคำนึงและพิจารณา ไม่ควรปล่อยให้เด็กๆ เล่นอินเตอร์เน็ตคนเดียว เพราะเราไม่มีทางรู้ตัวล่วงหน้าได้ว่า สื่อสายดาร์คเหล่านี้จะมาโบกมือทักทายชวนลูกเราไปเล่นด้วยเมื่อไหร่ ทางที่ดีควรกลั่นกรองการเล่นของลูก หรือควรอยู่ใกล้ชิดกับเค้าขณะเล่นไปด้วย เพื่อจะได้เข้าใจถึงโลกที่เค้าสนใจ คุยกับเค้าได้ทุกเรื่อง และยังคอยสอดส่องดูแลเค้าได้อีกด้วย ไม่ใช่อยากเล่นอะไรก็ปล่อยให้เล่นไป โดยไม่รู้เลยว่าเวบไซต์ที่ลูกคุณดูอยู่นั่น มีสายดาร์ครวมอยู่ด้วยมากน้อยเพียงใดค่ะ


________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ว่าด้วยเรื่องของคนรักหนัง


Credit: ภาพจากเพจ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"

สำหรับใครที่เป็นคนรักตัวจริงเสียงจริง ย่อมรู้จักโรงภาพยนตร์สกาล่า รวมถึงโรงภาพยนตร์ลิโด้ในเครือเอเพ็กซ์กันเป็นอย่างดี ว่าเป็นโรงภาพยนตร์ที่นิยมสำหรับคอหนังโดยเฉพาะ กล้าที่จะนำเอาภาพยนตร์ที่อาจไม่ได้อยู่ในกระแสฮอลลีวู้ด แต่เป็นภาพยนตร์อินดี้ชั้นดี ทั้งเนื้อเรื่อง เนื้อหา การถ่ายภาพ การตัดต่อ การร้อยเรียงภาพ การเล่าเรื่องด้วยภาพ ดนตรีประกอบ รวมไปถึงส่วนของนักแสดงเองก็ตาม ที่เข้าถึงบทบาทนั้นๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกันกับภาพยนตร์

โดยส่วนตัวแล้วชอบไปชมภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์สกาล่าด้วยปัจจัยหลักๆ ดังต่อไปนี้

1. ภาพยนตร์ที่ฉาย

หากเป็นคอหนังธรรมดาคุณอาจสามารถเลือกไปชมภาพยนตร์ที่ไหนก็ได้ เพราะมีตัวเลือกให้เลือกอยู่มากมายหลายที่ แต่หากเป็นคอหนังอินดี้ชั้นดีแล้ว ตัวเลือกคุณมีไม่มากนักหรอกในประเทศไทย และโรงภาพยนตร์สกาล่าก็เสมือนเป็นตัวช่วยชั้นดีให้กับเราได้มีโอกาสชม ภาพยนตร์ ดีๆ เช่นนี้ได้ในโรงภาพยนตร์จอใหญ่ในบ้านเรา

2. พี่เอ๋ Hot Line สายด่วนตัวช่วยคนรักหนัง

หากใครเป็นแฟนคลับของที่นี่ คงทราบถึงเสน่ห์อีกอย่างคือ พี่เอ๋ พี่เอ๋เป็นคนที่คอยรับโทรศัพท์คนที่ไปเช็ครอบหนัง เช็คหนังที่กำลังลงโรง ซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแค่โอเปอเรเตอร์เหมือน Call Center ปกติทั่วไป พี่เอ๋ทำหน้าที่ได้ดีกว่านั้นมากมาย พี่เอ๋ทำหน้าที่เสมือนเป็นกูรูหนังที่คอยช่วยไกด์ไลน์ให้กับเรา อาทิตย์นี้มีหนังเรื่องใดฉายบ้าง บางทีนึกไม่ออกว่าจะดูเรื่องไหนดี พี่เอ๋ก็จะเล่าให้ฟังว่าหนังเรื่องนี้อารมณ์ประมาณไหน เราชอบดูหนังแนวไหน เรื่องไหนที่จะตอบโจทย์ตามสไตล์ของเราที่ชื่นชอบ พร้อมด้วยลูกเล่น ลีลา การหยอดมุข เล่นกับคนที่โทรศัพท์ไปหาพี่เอ๋ จนพี่เอ๋กลายเป็นบุคคลในตำนานของบรรดาคนรักหนังที่ชอบไปดูหนังที่นี่กันแทบ ทุกคน ยังเคยซื้อขนมไปฝากพี่เอ๋อยู่บ่อยครั้งกับความน่ารักของพี่แก ซึ่งเสน่ห์และความผูกพันเช่นนี้ คุณไม่สามารถหาได้จากโรงภาพยนตร์ของค่ายใหญ่อย่างแน่นอน

3. อารมณ์และบรรยากาศระหว่างชม

คาดว่าหลายคนคงเคยเจอกับสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ระหว่างการชมภาพยนตร์เวลา คุณไปชมในโรงภาพยนตร์ของค่ายใหญ่ที่อยู่ตามห้างสรรพสินค้า อาทิเช่น คุยโทรศัพท์ คุยกับเพื่อน จีบกับแฟน แชทตลอดหนังฉายทำให้หน้าจอมือถือที่สว่างแสงเข้าตาเรา เด็กร้องไห้ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้คุณจะไม่มีทางได้พบเจอกับที่นี่ เนื่องจากแฟนคลับขาประจำของที่นี่เป็นคนรักหนัง ดังนั้นสิ่งที่เค้าเหล่านี้ต้องการ คือการเสพหนังให้ได้อรรถรสอย่างเต็มอิ่ม เข้าไปเพื่อดูหนัง แบบตั้งใจดูทุกวินาที เพื่อที่จะไม่พลาดช็อตสำคัญใดๆ ระหว่างทาง ที่อาจเป็นปมสำคัญในตอนท้ายเรื่อง หรือดื่มด่ำไปกับทุกห้วงอารมณ์ของนักแสดงและเรื่องราวในภาพยนตร์ มันช่างเป็นอะไรที่วิเศษมาก กับการได้ชมภาพยนตร์แบบเต็มอิ่ม โดยไม่มีเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์มารบกวนอรรถรสเลยแม้แต่น้อย

4. เข้าไปดูหนังคนเดียวได้โดยไม่รู้สึกเป็นเอเลี่ยน

โดยส่วนตัวแล้วชอบเลือกที่จะไปดูหนังคนเดียว เพราะอย่างที่บอกไปว่าเป็นคนรักหนัง ดังนั้นการเข้าไปโรงภาพยนตร์ คือการไปชมภาพยนตร์แบบเนื้อๆ เน้นๆ ไม่ได้เข้าไปเพราะเพื่อนชวนไม่มีอะไรทำ หรือไปเพื่อฆ่าเวลา เหมือนเช่นโรงภาพยนตร์ของค่ายใหญ่ที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า ที่มากันเป็นหมู่คณะ มาเป็นคู่ๆ คู่ชายกับชาย คู่หญิงกับหญิง หรือคู่รักก็ตามที ทำให้หลายคนที่ไปซื้อตั๋วคนเดียวแล้วแอบเขิน รู้สึกเป็นเอเลี่ยน กลายเป็นมนุษย์ประหลาดไป แต่สำหรับที่นี่การไปซื้อตั๋วคนเดียว และการเข้าไปดูหนังคนเดียว เป็นเรื่องที่ปกติมากถึงมากที่สุด เพราะคนส่วนใหญ่ก็เลือกทำเช่นนั้น เลยทำให้คนที่มาดูมากกว่าหนึ่งคน กลายเป็นคนส่วนน้อยไปโดยปริยาย (ฮา)


5. เสน่ห์ของบรรยากาศในโรงหนังและคนทำงานในยุคอนาล็อก 

ใครที่เคยไปซื้อบัตรในโรงภาพยนตร์สกาล่าครั้งแรก อาจตกใจว่า โอ้ววว สมัยนี้ยังมีระบบการสำรองบัตรแบบใช้มือขีดลงไปบนแผ่นกระดาษอีกหรือ เป็นอะไรที่คลาสสิคสุดๆ รวมไปถึงสถาปัตยกรรม การออกแบบ และบรรยากาศของโรงภาพยนต์ ที่ควรค่าอย่างยิ่งต่อการเก็บอนุรักษ์ไว้ เพื่อเอาไว้ใช้เป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่างๆ ทางแผ่นฟิล์ม ทางศิลปะ ทางวัฒนธรรม เพราะเราจะหาสถานที่แบบนี้ที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในบ้านเรา


หากว่าท่านใดที่มีความรัก ความผูกพัน หรือมีอารมณ์ร่วมกับสถานที่แห่งนี้ รวมไปถึงท่านที่สนใจเข้าร่วม "แคมเปญรณรงค์เพื่อเก็บโรงภาพยนตร์สกาล่าให้เป็น มรดกทางสถาปัตยกรรม และแหล่งอ้างอิงของแผ่นดิน" เชิญกดลิงค์ที่ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ ร่วมด้วยช่วยกันนะคะ ขอบคุณค่ะ


เข้าร่วมรณรงค์เก็บโรงภาพยนต์สกาล่าเป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมและแหล่งอ้างอิงของแผ่นดิน

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Home for Animals



เชื่อว่าหลายคนคงมีปมติดอยู่ในใจด้วยกันทั้งนั้น แล้วแต่ว่าปมของคนนั้นๆ จะเป็นปมจากเรื่องอะไรในใจ บางคนก็เรื่องพ่อ บางคนก็เรื่องแม่ บางคนก็เรื่องพี่น้อง บางคนก็เรื่องเพื่อน และบางคนก็เรื่องสัตว์เลี้ยง 

ซึ่งตัวเองก็เป็นหนึ่งในคนที่มีปมเรื่องน้องหมา เพราะด้วยความที่เป็นคนรักน้องหมามาก เลี้ยงน้องหมาประหนึ่งคนในครอบครัว กินด้วยกัน นอนด้วยกัน นั่นย่อมทำให้เศร้าและเสียใจต่อการจากไปของน้องหมาที่เลี้ยงดูมากับมือตั้งแต่ยังเล็ก และทำใจยากทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ จนตัดสินใจที่จะไม่เลี้ยงอีกต่อไป

แต่จะเปลี่ยนเป็นการทำบุญ บริจาค ช่วยเหลือน้องหมาตามมูลนิธิต่างๆ แทน และหนึ่งในมูลนิธิที่ร่วมบริจาคประจำปีช่วงวันเกิด คือ  มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ  (ในความอุปถัมภ์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเยียนและไปป้อนลูกชิ้นให้กับน้องหมาที่อยู่ในมูลนิธิฯนี้ 

ปฏิกิริยาที่เห็นได้ชัดคือ น้องหมาก็มีหัวใจไม่ต่างกับคนเรา แต่ละตัวดีใจ เมื่อมีคนไปเยี่ยม มีคนไปให้อาหาร แม้สภาพ บางตัวอาจไม่สามารถเดินได้หรือมองไม่เห็นก็ตามที แต่การแสดงออกถึงความดีใจยังมีให้เห็น ในลักษณะการแสดงออกที่ต่างวิธีกันไป

เมื่อวานนั่งอ่านข่าวเกี่ยวกับน้องหมาผู้ซื่อสัตย์ ที่นั่งรอเจ้าของที่จากไปแล้วมานานกว่า 5 ปี โดยที่ไม่ยอมจากไปไหน แต่ก็มีคนคอยนำน้ำและอาหารมาให้ ที่หมู่บ้าน Malu Mare ในประเทศโรมาเนีย แล้วสะกิดใจทำให้เขียนถึงเรื่องนี้

แล้วก็พาลนึกถึงข่าวการทำร้ายน้องหมาแต่ละข่าวแล้ว ไม่เข้าใจว่าคนไทยสมัยนี้ป่วยทางจิตกันมากถึงเพียงนี้ แค่ต้องการเรียกร้องความสนใจ จากแฟน หรือแค่ประชดแฟน หรือจะด้วยเพราะ อารมณ์ชั่ววูบ ต้องทำร้าย ทารุณกรรม และเข่นฆ่ากันเชียวหรือ 

ใครว่างอย่าลืมแวะไปเยี่ยมเยียนน้องหมาที่มูลนิธิกันได้นะคะ เพราะนอกจากเงินบริจาคที่ทาง มูลนิธิต้องการเพื่อช่วยในเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว ตัวน้องหมาเองก็ยังต้องการความรัก และการเอาใจใส่จากทุกท่านค่ะ 

มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ http://www.home4animals.org 

 

หมายเหตุ: ภาพที่นำมาลงเป็นภาพถ่ายของตัวเองที่ได้ไปปรากฎในสิ่งพิมพ์แจกจ่ายเพื่อช่วยเหลือสัตว์พิการของทางมูลนิธิฯ  เมื่อปลายปี  2556  ถ่ายเมื่อครั้งที่ไปเลี้ยง   อาหารน้องหมาและน้องแมวกับทางที่ทำงาน จะดีใจอย่างยิ่งหากว่าภาพนี้ ได้เป็นส่วนหนึ่งให้คนที่เห็นภาพเหล่านี้ได้ร่วมช่วยเหลือ และบริจาคให้กับทางมูลนิธิฯ นี้กันค่ะ

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***
 

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การจัดกระเป๋าเดินทางแบบมือโปร



ในช่วงวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวันแบบนี้ หลายคนคงมีแพลนที่จะไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือต่างประเทศกัน วันนี้เลยอยากนำเสนอเกี่ยวกับทริคดีๆ ที่ตัวเองใช้ในการจัดกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปท่องเที่ยวในแบบมือโปรมาฝากกันค่ะ

1. เช็คสภาพอากาศและอุณหภูมิ  

เนื่องจากเป็นปัจจัยหลักในการเลือกเสื้อผ้าสวมใส่ในการเดินทางได้อย่างเหมาะสม ว่าช่วงที่กำลังจะเดินทางไปสภาพอากาศเป็นเช่นไร อากาศร้อน อากาศกำลังเย็นสบาย หรือหิมะกำลังตก เพื่อจะได้วางแผนเตรียมตัวนำอุปกรณ์ที่เป็นตัวช่วยสำหรับสภาพอากาศนั้นๆ ไปด้วย เช่น แว่นกันแดดพร้อมหมวกปีกกว้างรับฤดูซัมเมอร์ หรือรองเท้าบูทกับโค้ทกันหนาวอย่างหนาเพื่อป้องกันหิมะในฤดูหนาว และยังสามารถเลือกสไตล์หรือสีของเสื้อผ้าให้เข้ากับฤดูกาลเพื่อแต่งกายให้เข้ากับคนท้องถิ่นเพื่อความอินเทรนด์ เช่น ช่วงฤดูใบไม้ผลิ สไตล์เสื้อผ้าที่เหมาะกับลุคนี้ มักจะเป็นเสื้อคลุมไหมพรมคาร์ดิแกนสีพาสเทลหวานๆ หรือ ช่วงฤดูใบไม้ร่วง สไตล์เสื้อผ้าที่เหมาะกับลุค มักจะเป็นเสื้อคอเต่าสีตุ่นๆ กับรองเท้าบู๊ทเก๋ๆ สักคู่

ตรวจสอบสภาพอากาศและอุณหภูมิ


2. เช็คน้ำหนักและตรวจสอบสิ่งของต้องห้ามสำหรับกระเป๋าที่นำติดตัวขึ้นเครื่อง

ซึ่งโดยทั่วไปทางสายการบินมักจะกำหนดให้นำกระเป๋าที่สามารถถือติดตัวขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 7 กิโลกรัม โดยน้ำหนักและขนาดของกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องสามารถเช็ครายละเอียดได้จากเวบไซต์ของสายการบินนั้นๆ โดยตรง   สำหรับมาตรการเรื่องการพกพาของเหลวที่จำเป็นต้องใช้ติดตัวระหว่างโดยสารบนเครื่องบิน เช่น ครีม น้ำหอม สเปรย์ เจล และยาสีฟัน  โปรดตรวจสอบให้ดีว่า ภาชนะที่ใส่ต้องมีปริมาณความจุไม่เกิน 100 มิลลิลิตร หรือมิลลิกรัม  โดยต้องนำของเหลวเหล่านั้นมารวมใส่ถุงพลาสติกใสแบบเปิด-ปิดผนึกได้ หรือที่เรียกว่า ถุงซิปล็อก ขนาดไม่เกิน 20 x 20 เซนติเมตร ซึ่งรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 1,000 มิลลิลิตร หรือเทียบเท่า ต่อผู้โดยสาร 1 ท่าน   ในส่วนของเรื่องแบตเตอรี่สำรองมีกฎให้ทุกคนต้องถือติดตัวขึ้นเครื่องไปด้วยเท่านั้นตามความจุไฟฟ้าที่ได้รับอนุญาต  ห้ามโหลดลงกระเป๋าใต้เครื่องโดยเด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดการช็อตและติดไฟขณะอยู่บนเครื่องบิน   นอกจากนี้โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้พกพาสิ่งของต้องห้าม เช่น ปืน หรือ ถังแก๊ส อุ๊บสสส (ไม่เอานะคะ เพื่อนๆ ร่วมเดินทางโดยสารไปด้วย ตกใจนะคะ ^^")

มาตรการเรื่องของเหลวและสิ่งของต้องห้าม


มาตรการเรื่องการนำแบตเตอรี่สำรองขึ้นไปบนเครื่องบิน


3. เลือกเนื้อผ้าและจัดเสื้อผ้าสำหรับทริปเดินทางในสไตล์ มิกซ์ แอนด์ แมตช์

ควรเลือกเนื้อผ้าประเภทไม่ยับง่าย ใส่แล้วสบายเป็นหลัก และควรจะวางแผนโดยการลองชุดก่อนไปด้วยเลย ว่าจะใส่เสื้อผ้าแบบไหนในแต่ละวันของทริป เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นลุคที่ใส่แล้วดูดี และสะดวกสบายต่อการเดินทาง รวมไปถึงรองเท้าที่จะใส่ไป ว่าเหมาะสมกับสถานที่ที่ไปเพราะอาจต้องเดินเยอะ  เพื่อเป็นการลดน้ำหนักของเสื้อผ้าที่จะเอาไปแบบไม่ต้องเผื่อ และคล่องตัวในการเดินทาง นอกจากนี้เสื้อผ้าที่เอาไปอาจนำมาจับให้เข้าเซตได้มากกว่า 1 แบบ จึงไม่จำเป็นต้องนำกางเกง 5 ตัว สำหรับทริป 5 วัน อาจจะลดเหลือกางเกงสัก 3 ตัว และนำไปแมทช์กับเสื้อยืด หรือเสื้อคลุมเก๋ๆ แต่ไอเดียนี้อาจจะเหมาะกับสาวขาลุย หรือสาวแบ็คแพ็กเกอร์ มากกว่าบิวตี้ไอค่อนตัวแม่ ที่จำเป็นต้องจัดเต็มตลอดเวลา อันนี้เราเข้าใจค่ะ

4. ถามตัวเองให้แน่ใจว่าเสื้อผ้าชิ้นนั้นจำเป็นต้องใช้หรือไม่

ไม่ว่าจะเป็นยีนส์ตัวเก่ง แจ๊คเก็ต และเสื้อกันหนาว ที่มีขนาดใหญ่ หนา และน้ำหนักมาก เพราะด้วยขนาดและน้ำหนักจะเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการจัดกระเป๋าเดินทาง ขาไปอาจจะดูไม่เป็นปัญหา แต่มักจะเป็นปัญหาต่อการจัดกระเป๋าเดินทางขากลับ เพราะต้องอย่าลืมเผื่อที่ว่างสำหรับข้าวของที่คุณติดไม้ติดมือช้อปปิ้งระหว่างทริป หรือของฝากกลับเพื่อนๆและญาติๆ ดังนั้นหากคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องใช้จริงๆ กรุณาหลีกเลี่ยง หรือนำมันออกจากกระเป๋าที่คุณเพิ่งใส่มันลงไป

5. ถามตัวเองให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ที่ขนไปด้วยจะไม่สร้างภาระให้กับคุณ

อันนี้พูดถึงในฐานะตากล้องทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก หรือ กล้อง DSLR ที่บางคนอาจมีมากกว่าหนึ่งตัว โดยส่วนใหญ่แล้ว รุ่นมือโปร จะยิ่งมีน้ำหนักเยอะ เนื่องจากจำเป็นต้องคำนึงถึงขนาดเลนส์ และจำนวนเลนส์ที่จะขนไปด้วย ต้องวางแผนว่าจะนำเลนส์อะไรไปใช้ระหว่างทริป โดยอาจต้องศึกษาจากภาพถ่ายของสถานที่ท่องเที่ยวที่กำลังเดินทางไปว่า สถานที่นั้นๆ เหมาะสำหรับใช้เลนส์อะไรถ่าย เลนส์ไวด์ เลนส์นอร์มอล เลนส์ฟิกซ์ หรือ เลนส์ซูม เพื่อจะได้วางแผนได้อย่างเหมาะสม และน้ำหนักรวมทั้งหมดของกระเป๋ากล้องที่จะต้องแบกไประหว่างทริปไม่หนักจนเกินไป จนกลายเป็นปัญหาเรื่องสุขภาพหลังที่อาจทำให้หมดสนุกได้

6. วิธีการจัดของลงไปในกระเป๋า

เรื่องนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ไม่เปลืองเนื้อที่ของกระเป๋าในการจัดเก็บ เทคนิคส่วนตัวที่ชอบใช้และได้ผลดีที่สุด คือการม้วนเป็นแท่ง เพราะทำให้เสื้อผ้าไม่ค่อยยับ และยังง่ายต่อการหยิบจับอีกด้วย ส่วนเสื้อผ้าชิ้นใหญ่หรือมีน้ำหนักมากให้จัดวางลงกระเป๋าหลังสุด โดยอาจพับแค่ทบเดียว แล้ววางพาดไปตามทรงของกระเป๋า นอกจากนี้ควรมีกระเป๋าผ้าบางๆใบเล็กๆ หรือจะใช้ถุงซิปล็อก เพื่อแบ่งใส่ตามประเภทของใช้ เพื่อง่ายต่อการหยิบใช้ไม่ปะปนกัน เช่น ชุดชั้นใน ถุงเท้า สายชาร์จหรืออุปกรณ์อีเล็คโทรนิคต่างๆ และของสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลาย คือเครื่องสำอางค์ คัดเอาเฉพาะเซตที่สามารถแต่งได้ทุกวันและใช้ทุกชิ้น เช่นที่ปัดแก้มอาจเลือกใช้แค่เฉดสีเดียว แต่เป็นเฉดที่สามารถนำมาแมทช์กับสีลิปสติกที่ชอบอีกสักสอง หรือสามแท่ง แค่นี้ก็สวยได้ตลอดทริป

ลิสต์รายชื่อยาที่ควรพกติดตัวไประหว่างเดินทาง


เมื่อจัดกระเป๋าของคุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมตรวจสอบกับเช็คลิสต์ของคุณอีกรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่พลาดอะไรไป ซึ่งรวมไปถึง พาสปอร์ตและเอกสารสำคัญประจำตัว ตั่วเครื่องบิน (ซึ่งควรถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน เผื่อเกิดกรณีสูญหายระหว่างทาง) ยารักษาโรคและยาสามัญประจำตัว เผื่อกรณีฉุกเฉิน เช่น ยาแก้ปวดหัว ยาแก้ไข ยาแก้ท้องเสีย เป็นต้น แค่เพียงเท่านี้คุณก็สามารถจัดกระเป๋าเดินทางในแบบมือโปรกันได้อย่างง่ายดาย ขอให้สนุกกับการท่องเที่ยวและเดินทางกันอย่างปลอดภัยค่ะ

หมายเหตุ: สามารถคลิกที่ตัวอักษรสีแดงเพื่อเปิดดูข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับเรื่องนั้นๆค่ะ

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

หักอกมนุษย์แบงค์



หากเป็นสมัยก่อนใครบอกว่ามีลูกทำงานธนาคาร พ่อแม่คงภูมิใจและดีใจมาก ที่ลูกจะได้ทำงานในตำแหน่งหน้าที่การงานดี บริษัทใหญ่โต ฐานะมั่นคง มีโอกาสก้าวหน้า และรายได้ดี แต่พอมาถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เศรษฐกิจโลกตกต่ำส่งผลกระทบโดยตรงในภาคตลาดการเงินหลายๆประเทศ แม้แต่ประเทศที่เคยมีเศรษฐกิจแข็งแกร่งก็ตามทียังพาลย่ำแย่ การค้าการแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้นทุกทีตามสภาพเศรษฐกิจที่เป็นตัวบีบบังคับ

การจะเป็นพนักงานธนาคารสมัยนี้คุณต้องมีทักษะที่ทำงานได้มากกว่าหนึ่งอย่าง หรือที่เรียกว่า Multitasking Skills ในขณะที่นายจ้างต่างก็มีดัชนีชี้วัดผลงานแบบละเอียดยิบทุกขั้นตอนในการทำงาน หรือที่เรียกว่า KPI (Key Performance Indicators) นอกจากนี้ยังมีการนำคอนเซปท์ Lean Management มาใช้ในการบริหารองค์กร เพื่อขจัดการใช้ทรัพยากรอย่างสูญเปล่า โดยคำว่าทรัพยากรในที่นี้ รวมถึง แรงงาน วัตถุดิบ เวลา เงิน และอื่นๆ ซึ่งสรุปอย่างง่ายๆ ก็คือ "การลดต้นทุน เพื่อเพิ่มผลกำไรให้องค์กร"

ทำให้หัวอกมนุษย์แบงค์สมัยนี้ต้องทำตัวแข็งแกร่งประหนึ่งซุเปอร์ฮีโร่ ไม่ว่าจะเป็น Wonder Woman กับ Captain America หรืออยากจะเป็น Deadpool กับ Black Widow ก็ตามที กับหน้าที่และความรับผิดชอบที่ถูกมอบหมายงานมาให้เป็นหนึ่งใน JD (Job Description) ที่ร่ายยาวเป็นหางว่าว และยังได้รับมอบหมายงานเพิ่มขึ้นอีกทุกๆ ปี (ปาดน้ำตาแปร๊ป T_T)

แล้วบรรดากฎระเบียบและกฎเกณฑ์ที่ตามหน่วยงานต่างๆ ออกมาให้พนักงานธนาคารต้องทำตามกฎต่างๆ เหล่านั้นอย่างรัดกุมเพื่อความปลอดภัยและโปร่งใส ไม่ว่าจะ BoT และ AMLO  นอกจากนี้ยังมีกฎระเบียบและกฎเกณฑ์ที่ออกมาเพื่อตรวจสอบและป้องกันความผิดพลาดในแต่ละขั้นตอนของการทำงาน ไม่ว่าจะ Internal&External Audit และ Internal&Global Bank Policy

ยกตัวอย่างภาพให้เห็นง่ายๆ การที่คุณเห็นว่าจำนวนงานชิ้นหนึ่งที่ผลิตขึ้นมา แต่กว่างานชิ้นนั้นๆ จะถูกผลิตขึ้นมาได้ ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนในการผลิตเกือบสิบขั้นตอนที่คุณไม่อาจทราบได้ ยิ่งสมัยนี้เทคโนโลยีก้าวหน้า การปลอมแปลงก็ยิ่งง่ายขึ้น การทำงานของพนักงานธนาคารเองก็ยิ่งยากขึ้น ต้องเช็คแล้ว เช็คอีก อย่างถ้วนถี่ เพื่อป้องกันความผิดพลาดไม่ให้เกิดขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นหากว่าเป็นพนักงาน Teller ตามธนาคารสาขา แต่ละคนยังต้องมีเป้าสำหรับหายอดการทำประกันชีวิตของลูกค้า ซึ่งเป็นตัวกดดันพนักงานมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะตอนเรียนจบและตั้งใจว่าจะมาทำงานธนาคาร คงวาดฝันว่าจะได้ใช้ความรู้ความสามารถที่เรียนมาเพื่อทำงานบริการด้านการเงินตาม Product เฉพาะทางต่างๆ ที่ทางธนาคารมี แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่าตัวเองจะต้องกลายมาเป็นพนักงานขายประกันพ่วงไปด้วย (ทำเอาจิตตกและออกมาตั้งกระทู้ในเวบบอร์ดดังให้เห็นกันบ่อยครั้ง)

เคยเจอน้องพนักงานธนาคารสาขาที่ไปใช้บริการ บ่นกับพนักงานด้วยกันเองว่า จะบ่ายสองละ ยังไม่ได้กินข้าวเลย งานก็ยังทำไม่เสร็จ สิ้นเดือนนี้หากใครคิดจะย้ายไปไหน บอกกันด้วยนะ จะตามไปด้วย (คาดว่าอารมณ์ตอนนั้นคุณน้องคนนี้คงพีคถึงขีดสุดแล้ว เลยได้แต่นั่งหน้าสวย ไม่ปริปากบ่นสักคำ น้องทำช้าแค่ไหน พี่เข้าใจ พี่รอได้คร่าาา)

ดังนั้นหากว่าคุณมีโอกาสได้ไปใช้บริการกับน้องๆ พนักงานธนาคารสาขาคราวหน้า รบกวนว่าให้รออย่างสุภาพ เพราะน้องๆ แต่ละท่านมีความตั้งใจในการบริการอย่างดีเยี่ยม พร้อมบริการด้วยความรวดเร็วทันใจเพื่อคุณลูกค้าสมัยนี้กันอยู่แล้ว เพียงแต่กฎเกณฑ์และกฎระเบียบในบางขั้นตอน ที่อาจทำให้บริการล่าช้า ไม่ได้ดั่งใจคุณลูกค้ากันไปบ้าง ก็ได้โปรดเข้าใจกันด้วยนะคะ เพราะแต่ละคนก็มีแรงกดดันในตัวเองสูงอยู่แล้ว สงสารน้องเค้าอะคะ

ปล. ขออภัยที่จำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเพราะเป็นศัพท์เทคนิคเฉพาะด้านค่ะ
________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อาหารต้านแดด



ในปัจจุบันนี้ไม่ว่าเจอหน้าใครต่างก็บ่นว่าร้อน ร้อนมาก ร้อนเหลือเกิน ร้อนจนทนไม่ไหว กันแทบทุกคน อันเนื่องมาจากปัญหาภาวะโลกร้อนที่ทำให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นในทุกๆปี ถึงขนาดมีคนทำภาพล้อเลียนมาแซวกันในโซเชีลเน็ตเวิร์คว่า

"อย่าว่าแต่แดร็กคูล่าที่กลัวแดดเลย.............
แดดเมืองไทยตอนนี้แม้แต่ตรูโดนก็ยังละลาย"

และนั่นย่อมทำให้สาวๆ ต่างก็ต้องกังวลกับสภาพผิวที่อาจโดนทำร้ายจากแสงแดดแรงบ้านเราในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะผิวหมองคล้ำ สีผิวเข้มขึ้น หรือผิวแห้งกร้าน พอดีว่าช่วงนี้มีงานรับเขียนบทความเกี่ยวกับอาหารต้านแดดเลย เลยอยากนำเรื่องนี้มาแบ่งปันให้สาวๆ หรือแม้แต่หนุ่มๆ เองที่กำลังกังวลกับผิวเสียมาให้ได้ทราบกัน

จากผลวิจัยได้ค้นพบว่า การทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระนั้น ยังมีส่วนช่วยให้ร่างกายสามารถต้านต่อแสงแดดได้ดียิ่งขึ้นด้วย โดยเฉพาะอาหารที่มีสารประเภท เบต้าแคโรทีน (สารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยต่อต้านแสงแดดได้ดีป้องกันผิวไหม้) และไลโคปีน (สารช่วยป้องกันผิวไหม้จากแสงแดด ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นของผิว และช่วยชะลอริ้วรอยแห่งวัย) สูง ซึ่งมักจะพบได้ในผักใบเขียว และผลไม้สีเหลือง ทั้งนี้ต้องทานต่อเนื่องอย่างน้อย 10 สัปดาห์ขึ้นไป จึงจะเห็นผลชัดเจน ทีนี้มาดูกันว่ามีอะไรเป็นตัวช่วยที่ดีไปดูกันค่ะ

  1. มะเขือเทศ
    สำหรับสาวที่รักผิวย่อมรู้ดีว่า ประโยชน์ของมะเขือเทศมีส่วนช่วยในเรื่องการบำรุงผิวพรรณอยู่แล้ว นอกจากจะอุดมด้วยวิตามินแล้ว ยังมีสารไลโคปีนสูง ที่เป็นตัวช่วยในเรื่องต่อต้านแดด และช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ไม่แห้งกร้าน แถมยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้อีกด้วย
  2. แตงโม
    นอกจากจะเป็นผลไม้ที่ช่วยคลายร้อนได้แล้ว ยังอุดมด้วยวิตามินอีกมากมาย และเป็นผลไม้ที่มีสารไลโคปีนสูง ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นผิว ไม่ทำให้ผิวแห้งกร้าน ชะลอริ้วรอย และช่วยลดจุดด่างดำจากมลภาวะแสงแดด
  3. มะละกอ
    อุดมไปด้วยประโยชน์ ที่นอกจากจะช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายแล้ว ยังช่วยบำรุงผิวพรรณ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก ช่วยบำรุงผิวพรรณ และที่สำคัญช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวได้ดีอีกด้วย
  4. แครอท
    ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดแล้ว ยังช่วยสะท้อนรังสีออกไปได้อีกด้วย เพราะอุดมด้วยสารเบต้าเคโรทีน ทำให้เซลล์ได้รับการปกป้องและซ่อมแซมเมื่อต้องเผชิญกับรังสียูวี
  5. ดาร์กช็อกโกแลต
    อันนี้ถูกใจสาวหลายๆคนที่ชื่นชอบทานช็อกโกแลต เพราะมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือ ฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยให้ร่างกายปกป้องผิวจากแสงแดดได้ดียิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องสังเกตส่วนผสมให้ดีว่ามีโกโก้เป็นส่วนผสมมากกว่า 65% เพื่อให้ได้ผล

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่ลืมที่จะทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านกันทุกครั้ง เพื่อช่วยปกป้องผิวและปลอดภัยจากการทำร้ายผิวของรังสียูวี แค่เพียงเท่านี้สาวๆก็พร้อมเผยผิวสวยได้ทุกเมื่อค่ะ

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

รายได้เสริมกับเศรษฐกิจยุคนี้


ทุกคนคงตระหนักดีว่า เศรษฐกิจยุคนี้อยู่ในภาวะไม่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นคนทำงานเองต่างก็หาแหล่งที่มาของรายได้มากกว่าแหล่งเดียว โดยไม่หวังพึ่งพาเงินเดือนแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เริ่มมองหาสิ่งที่ใกล้ตัว หรือสิ่งที่ตัวเองถนัดใจรักและทำได้ดี เพื่อใช้มันมาเป็นรายได้เสริมได้อีกทางหนึ่ง

เช่นคนที่ถนัดถ่ายรูป ก็ไปรับจ็อบถ่ายรูป คนที่ถนัดเรื่องงานเขียนและการใช้ภาษา ก็ไปรับจ็อบเขียนบทความ คนที่ถนัดทำอาหารหรือขนม ก็ทำอาหารหรือขนมขายในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ คนที่ชอบช้อปปิ้งออนไลน์ ก็เปลี่ยนเป็นไปรับสินค้ามาขายทางออนไลน์แทน

เมื่อวานได้มีโอกาสไปเยี่ยมครอบครัวเพื่อนครอบครัวหนึ่ง ที่เลือกที่จะหารายได้เสริมช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์เช่นเดียวกัน โดยการเลือกขายสลัดโรลที่ตลาดนัดกลางคืนสวนรถไฟศรีนครินทร์

แอบสอบถามถึงที่มาที่ไปเล็กน้อย ก็ได้คำตอบว่า เพื่อนชวนให้มาลองขายเพราะมีล็อคว่าง เลยปรึกษากันว่าสนใจมั้ย จนมาได้พื้นที่ ทีนี้ก็คิดว่าจะขายอาหารอะไรดี เพราะอยู่ในโซนของร้านอาหาร พอดีว่าทางฝ่ายผู้หญิงมีความสามารถทางด้านทำอาหาร ถนัดมากกับน้ำจิ้มซีฟู้ด   และชอบทานสลัดเป็นการส่วนตัว เลยเป็นที่มาของการขายสลัดโรล

เท่าที่ไปสัมผัสบรรยากาศระหว่างขายตลอดคืน การเลือกมาขายสินค้าตามตลาดนัดกลางคืน นอกจากจะเป็นแหล่งรายได้เสริมทางหนึ่งแล้ว ยังเป็นกิจกรรมดีๆสานสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวอีกด้วย ทุกคนร่วมแรงร่วมใจ ไม่ว่าจะคุณแม่ คุณพ่อ หรือแม้กระทั่งคุณลูก ที่ตั้งใจเรียกลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมาให้มาช่วยซื้อสลัดโรลที่ร้านกัน

นอกจากนี้บรรยากาศของพ่อค้าแม่ขายด้วยกันเอง ก็แลดูบรรยากาศแบบเป็นกันเอง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถ้อยทีถ้อยอาศัย ต่างก็ตั้งใจค้าขายเรียกลูกค้าให้มาอุดหนุน หรือในยามที่ดึกแล้วพ่อค้าแม่ขายต่างก็ช่วยอุดหนุนกันเอง ลูกๆก็ได้เพื่อนเล่นใหม่ที่เป็นบรรดาลูกๆของพ่อค้าแม่ขายแถวนั้นไปด้วย เป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพ

หากว่าใครมีโอกาสได้แวะมาเดินเล่นที่ตลาดนัดสวนรถไฟ ศรีนครินทร์ (หลังซีคอนสแควร์) อย่าลืมแวะมาอุดหนุนสลัดโรลกับแม่ค้าตัวน้อยๆคนนี้กันนะคะ ร้านสลัดโรลของเพื่อนร้านนี้จะอยู่ในโซนขายอาหารที่อยู่ใกล้กับลานหน้าองค์พระพิฆเนศค่ะ


ปล. แม่ค้าตัวน้อยๆในรูป ตัวจริงยิ้มเก่งมากกกกกก แต่แอบอายกล้อง เลยไม่ยอมยิ้มตอนเรียกถ่ายรูป :)
________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***