วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ว่าด้วยเรื่องราวในวงการแบงค์ยุค 4.0






ช่วงนี้เห็นมาตรการของแบงค์ชาติยุค 4.0 ที่เดินหน้าเข้าสู่ยุคดิจิตอลอย่างเต็มตัวแล้วนั้น ลึกๆแล้วแอบเป็นห่วงน้องๆพนักงานแบงค์โดยเฉพาะกับพนักงานปฏิบัติการสายรีเทล ที่หลายๆแบงค์ต่างเริ่มนโยบายลดสาขา เพราะคนรุ่นใหม่หันไปใช้ e-banking หรือ mobile-banking กันเพิ่มมากขึ้นตามไลฟสไตล์ของยุคดิจิตอลสมัยนี้ ที่เบื่อรถติด เบื่อต้องเจอพนักงาน(จำใจ)ยัดเยียดขายแพคเกจประกันตามที่ได้รับมอบเป้าหมายมาให้ขายตามนโยบายของแบงค์ในยุคนี้ที่ต้องดิ้นรนหารายได้กันในทุกช่องทาง

แต่ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะหันไปใช้บริการธุรกรรมทางธนาคารผ่านอินเตอร์เนตกันเยอะขึ้นเพียงใดแต่จากข่าวใหญ่ที่กระทบต่อวงการธนาคารในบ้านเราสองเรื่องใหญ่ๆ ที่ผ่านมา นั่นคือกรณีมีคนร้ายปลอมแปลงบัตรประชาชนไปเปิดซิมใหม่ แล้วโทรไปรีเซตพาสเวิร์ดกับธนาคาร จนสามารถถอนเงินไปได้เกือบล้าน หลังจากที่จับตัวขบวนการนี้กันได้แล้ว ทำให้รู้ว่าจุดเริ่มต้นมีที่มาจากรูปแบบในการโกงเงินจากการซื้อขายไอเทมในเกมส์ออนไลน์ จนคิดการใหญ่จนเป็นที่มาของคดีดังไปทั่วประเทศ

ส่วนอีกคดีคือการที่ ATM โดยติดตั้ง Malware ในรูปแบบใหม่ล่าสุด ที่พอติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เครื่อง ATM ก็กลายเป็นเครื่องปั๊มเงินอัตโนมัติ หรือที่เรียกว่า ATM Jackpotting Malware ราวกับในหนังฮอลลีวูดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการโกงการปล้นเงินโดยใช้เทคโนโลยีไฮเทคกันที่ดูกันจนคุ้นชิน แต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นจริงๆในบ้านเรา จนกลายเป็นที่กล่าวถึงกันอย่างกว้างขวางถึงความปลอดภัยในวงการธนาคารของบ้านเรา ว่ามีความมาตรการความปลอดภัยในยุคดิจิตอลกันนี้มากน้อยเพียงไร

ทำให้ท่ามกลางกระแสอันร้อนแรงของรูปแบบธุรกรรมการเงินแสนไฮเทคนี้ ไม่ว่าจะ e-wallet ที่ใช้สมาร์ทโฟนเป็นกระเป๋าตังค์ไว้จ่ายค่าบริการที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป เช่นบัตรรถไฟฟ้า หรือจะเป็น Any ID ที่ชื่อไม่สื่อ จนต้องเปลี่ยนชื่อเป็น Prompt Pay เพื่อให้เข้าใจกันอย่างง่ายดายมากขึ้น แต่กระนั้น คนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังคงตั้งข้อสงสัยกับความปลอดภัยในการธุรกรรมผ่านอินเตอร์เนต ว่าจะมีความปลอดภัยแค่ไหน เพราะยิ่งระบบเก่งกาจเพียงใด คนโกงก็ยิ่งเก่งฉกาจมากขึ้นอีกหลายเท่า

แต่อย่างน้อยคดีเหล่านี้ก็เป็นบทเรียนให้เราได้ตระหนักว่า ไม่ควรเก็บเงินไว้ในบัญชีเดียว ควรที่ จะแยกเงินเก็บไว้หลายแห่ง ซึ่งหากจำเป็นต้องใช้ e-banking เพื่อทำธุรกิจ ควรจำกัดเงินในบัญชีให้เพียงพอต่อการทำธุรกรรมเท่านั้น ส่วนเงินเก็บสะสมควรแยกเก็บไว้ในบัญชีอื่น ที่ไม่ควรผูกกับ e-banking และยิ่งในยุคที่ดอกเบี้ยต่ำติดดินขนาดนี้ ควรอย่างยิ่งที่จะเก็บเงินไว้ในกองทุนการเงิน กองทุนตราสารหนี้ กองทุนตราสารหุ้น หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่า รวมถึงเป็นการยากต่อการถอนเงินออกจากบัญชีอีกด้วย เพราะต้องทำธุรกรรมกับกองทุนเพื่อขายเสียก่อน จึงจะได้เงินออกมาใช้

แต่แม้ว่าผู้เขียนเองจะเป็นคนวงในของวงการแบงค์ และมีความสนใจเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆอยู่เสมอ แต่ยอมรับว่ายังเป็นคน old-fasioned ที่ยังนิยมเดินเข้าธนาคารสาขา ทำธุรกรรมโดยใช้สมุดบัญชี แถมยังได้ชิทแชทกับน้องๆพนักงานแบงค์ ยอมฟังน้องๆนำเสนอแพคเกจขายประกันบ้าง เพราะเข้าใจดีว่า น้องๆโดนกดดันและมียอดกันอยู่ ยังไงก็ยังให้ความอุ่นใจและได้ทำความสนิทสนมกับน้องพนักงาน ไปด้วย แถมสิ้นปีได้มีปฏิฑินปีใหม่เป็นของกำนัลเล็กๆน้อยๆให้ได้ชื่นใจ ซึ่งถือเป็นของหายากไปแล้ว :)

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

World So Cruel

 
 
 
ช่วงนี้รับทราบข่าวผู้ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในแถบประเทศยุโรปไม่เว้นแต่ละวันแล้ว ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Unthinkable นานมากแล้ว เป็นหนังที่ Samual L. Jackson รับเล่นเป็นมืออาชีพรับจ้างของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐในการสอบสวนผู้ก่อการร้าย ด้วยวิธีการที่ไร้มนุษยธรรม คือทำอย่างไรก็ได้ ให้เค้นความจริงออกมาให้จงได้ โดยมี Carrie-Ann Moss เล่นเป็น FBI ที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่่ต้องคอยออกโรงปกป้องผู้ก่อการร้ายเสียเอง เพราะไม่สามารถทนดูการทรมานต่อไปได้

ซึ่งหากดูไปประมาณเกือบครึ่งเรื่อง จะเริ่มรู้สึกได้ถึงความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน ไร้ความปราณี ไร้ความเมตตา ไร้จิตใจของ Samual L. Jackson ที่ช่างสรรหาวิธีการทรมานต่อผู้ก่อการร้าย ที่เล่นได้โรคจิตแบบอินเนอร์จัดเต็ม Michel Sheen เล่นด้วยแววตาได้ดีเสียเหลือเกิน จนเราเองเริ่มเทใจ ด้วยความใจอ่อน และสงสารผู้ก่อการร้ายที่่โดนทรมานอย่างแสนสาหัส

แต่ตอนจบของหนังกลับทำให้เราต้องอึ้งและฉุกคิดว่า อะไรคือถูก และอะไรคือผิด เพราะตอนจบของเรื่อง (ใครที่คิดจะหาดูกรุณาข้ามข้อความข้างล่างนี้ไป)
.
.
.
.
.
กลายเป็นว่าการที่เจ้าหน้าที่แสนดีและมีมนุษยธรรมอย่าง Carrie-Ann Moss รวมถึงผู้ชมที่ดูมาครึ่งเรื่อง ที่ร่วมต่างเทใจเกลียด Samual L. Jackson อย่างไม่ต้องสงสัย และร่วมต่างเทใจสงสารให้กับผู้ก่อการร้ายอย่าง Michel Sheen ที่แลดูช่างแสนบอบบาง และถูกกระทำต่างๆนานา

แต่สุดท้ายแล้วผู้ก่อการร้ายเช่นนี้ล่ะ ที่วางระเบิดไว้ที่ตึกในเมืองใหญ่ของสหรัฐ โดยยอมตายแต่ไม่ยอมปริปากบอกถึงที่อยู่ของระเบิดลูกที่เหลืออยู่ ทำให้พอหนังตัดจบ ผู้ชมไม่จบ ต้องคิดต่อยอดหลังหนังจบแบบหนักอึ้งในหัวว่า ระหว่างเส้นบางๆ ของคำว่า "ความถูก" และ "ความผิด" เพราะในหลายๆเหตุการณ์ความเหมาะสม และหลักจริยธรรมต่างๆ กลับดูช่างขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงต่อความโหดร้ายป่าเถื่อนด้วยน้ำมือมนุษย์เรากันเองล้วนๆ

#worldpeace
#ขอสันติจงมีแด่โลก
#worldsocruel
#RIPtothevictimthatdied
#aorengjablog

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การเตรียมตัวพร้อมรับกับการเปลี่ยนงานใหม่



หลังจากที่เขียนถึงเกี่ยวกับเรื่อง 5 คำถามยอดนิยมเวลาไปสมัครงานเมื่อวานนี้แล้ว วันนี้เราก็มาต่อกันด้วยเรื่อง การเตรียมตัวพร้อมรับกับการเปลี่ยนงานใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนๆ ที่ทำงานที่ไหนมาเป็นเวลานาน หรือไม่ค่อยได้เปลี่ยนสถานที่ทำงานบ่อยๆ ด้วยแล้ว ยิ่งแนะนำให้อ่านค่ะ

1. พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว

แน่นอนว่าการเปลี่ยนงานใหม่ นั่นย่อมหมายถึงการเปลี่ยนระบบการทำงานใหม่ ทั้งระบบปฏิบัติงานทางด้านเทคโนโลยี รวมไปถึงระบบการปฏิบัติการตามสายงานในองค์กร รวมถึงระบบผู้มีอำนาจตามสายงาน ในภาวะที่การแข่งขันทางธุรกิจรุนแรงขึ้น จึงทำให้คุณมีเวลาเรียนรู้ในเวลาอันรวดเร็ว ที่คุณจะต้องทำตัวให้พร้อมที่จะสามารถปฏิบัติงานให้ได้เหมือนพนักงานคนอื่น

2. พร้อมนำประสบการณ์การทำงานมาประยุกต์ใช้

แน่นอนว่าเมื่อนายจ้างคนใหม่เลือกจ้างคนที่มีประสบการณ์การทำงาน นั่นย่อมหมายถึงว่า เค้าจ้างคุณเพราะประสบการณ์ของคุณ คิดว่าคุณสามารถพร้อมใช้งาน พร้อมใช้ประสบการณ์จากการทำงานในที่ทำงานเดิม มาประยุกต์ใช้กับสถานที่ทำงานใหม่ ให้ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จงเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากสถานที่ทำงานเดิมให้ได้มากที่สุด เพื่อนำมาใช้และก่อให้เกิดประโยชน์ในสถานที่ทำงานใหม่

3. พร้อมรับมือการกับทำงานแบบแมนวล

บางคนที่เคยทำงานกับสถานที่ทำงานที่ระบบการทำงานและระบบปฏิบัติที่ดี มั่นคง อยู่แล้ว ข้อนี้ขอให้เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับมือ การทำงานในแบบแมนวล หรืออธิบายง่ายๆ ได้ว่า ไม่มีระบบรองรับ ทำด้วยมือ หรือมีระบบช่วยบ้างเล็กน้อย แต่ต้องมาทำมือต่อเอง ต้องเอาข้อมูลจากฐานข้อมูลจากที่ต่าง ๆ มารวมกันเพื่อผลิตออกมาเป็นงานชิ้นนึง ข้อนี้อย่าได้แน่นอนใจว่า บริษัทหรือธนาคารที่กำลังจะไปทำนั้น ติดอันดับชั้นนำระดับโลก ต้องมีระบบระเบียบที่ดี มีระบบปฏิบัติการที่ยอดเยี่ยม ด้วยความที่ทุกองค์กรต่างต้องคุมและลดค่าใช้จ่าย ดังนั้นอย่าคิดว่าทุกองค์กรที่เปิดมาหลายสิบปีจะต้องมีระบบที่ดี ใครที่ชอบบ่นว่าระบบตัวเองแย่ ระบบตัวเองไม่ดีไม่ฉลาดเอาเสียเลย ลองไปที่ใหม่ดูอาจจะคิดถึงระบบที่คุณชอบบ่นเช้าบ่นเย็น ว่ามันสุดแสนจะเพอร์เฟกต์ที่สุดแล้ว (ดร่าม่าแปร๊ปปปป)

4. พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของคนในองค์กร

ข้อนี้เป็นเรื่องใหญ่มากถึงมากที่สุด เพราะการเปลี่ยนงาน ย่อมหมายถึงเปลี่ยนคนที่ต้องทำงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน ลูกน้อง ผู้บังคับบัญชา ซึ่งแต่ละคนก็แต่ละสไตล์ ต่างความคิด ต่างจิตใจ ซึ่งหากว่าเจอเพื่อนร่วมงานที่ดี และหัวหน้างานที่คุยภาษาเดียวกัน คุยกันรู้เรื่อง ก็เรียกได้ว่าเจอสวรรค์ แต่หากว่าเจอเพื่อนร่วมงานที่จ้องแต่จะดิสเครดิต เลื่อยเก้าอี้ และเจอหัวหน้างานที่หาเครดิตให้ตัวเองตลอดเวลา แต่ดิสเครดิตลูกน้องตลอดเวลา อันนี้ก็เรียกได้ว่าเจอนรกของจริง

5. พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต

ด้วยความที่เศรษฐกิจยุคนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ความไม่แน่นอน กลายเป็นความแน่นอนไปแล้ว ดังนั้นใช่ว่าคนที่มีงานประจำจะมั่นคงเสมอไป แต่ละบริษัทหรือธนาคาร อาจผุดโครงการลดค่าใช้จ่ายโดยลดพนักงานกันเป็นระยะๆ ดังนั้นสิ่งที่เราจะเอาชนะความไม่แน่นอนเหล่านี้ได้ คือเราต้องหมั่นฝึกฝน เพิ่มพูน ทักษะของตัวเอง ให้มีความพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ให้ตัวเราเป็นพนักงานที่มีประสิทธิภาพขององค์กร เมื่อนั้นเราจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไป กับการเปลี่ยนสถานที่ทำงาน แต่อาจต้องกังวลว่าจะเลือกทำงานกับองค์กรใดที่เหมาะกับตัวเรามากกว่า

หวังว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อน ๆ และใครอีกหลายคนที่กำลังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตการทำงาน เชือว่าทุกคนทำได้ ขอให้ตั้งใจจริง และมั่นใจตัวเองว่าคุณทำได้ แล้วโอกาสได้งานใหม่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน เป็นกำลังใจให้ทุกคน สู้ๆ ค่ะ

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

5 คำถามยอดนิยมเวลาไปสมัครงาน



หลังจากได้หยุดยาวกันถ้วนหน้า ได้ชาร์ตแบตเติมพลังงานชีวิตทั้งทางร่ายกายและจิตใจกันอย่างเต็มที่แล้ว ผู้เขียนก็พอจะมีเวลาว่างมาอัพบล็อกเขียนเรื่องราวที่เป็นสาระประโยชน์ตรงนี้ให้ได้อ่านกัน พอดีว่าช่วงนี้เห็นข่าวเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะดี ทำให้พนักงานโดนลอยแพกันหลายที่

รวมถึงเพื่อนๆ ที่อาจต้องตกงานกันในเร็วๆนี้ แล้วกำลังมองหาที่ทำงานใหม่อยู่ เลยอยากขอนำเสนอ 5 คำถามยอดนิยมเวลาไปสมัครงาน เพื่อเป็นกันแบ่งปันประสบการณ์ และเป็นการเล่าสู่กันฟังให้กับคนที่อาจร้างราวงการนี้มานาน แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ต้องกลับมาสู่สนามนี้กันอีกครา จะได้เตรียมตัวและทำความคุ้นชินกันแต่เนิ่นๆ  มาเริ่มกันเลยค่ะ

1. ความเป็นมาของคุณ

จำไว้ว่าเวลาที่เพื่อนๆ ไปสัมภาษณ์หรือไปสมัครงาน ต้องพยายามทำตัวให้แลดูเป็นมืออาชีพเข้าไว้ มิใช่ไปออกรายการตีสิบ เล่าถึงชีวประวัติความเป็นมาตั้งแต่จำความได้ (เพื่อ?) ไม่ต้องเยิ่นเย้อ ดราม่าก็ไม่เอา ไม่ใช่รายการประกวด The Star (อุ๊บสสส) ควรบอกผู้สัมภาษณ์ไปเฉพาะเรื่อง ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน แบบสรุปย่อที่สุด ท่องคำนี้ไว้ให้ดี "สั้น-กระชับ-ได้ใจความ" หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Sharp and Short!

2. เหตุผลในการอยากเปลี่ยนงาน

อันนี้จำไว้เลยว่าก่อนตอบหรือพอโดนยิงคำถามนี้มา ไตเติ้ลละครในดวงใจต้องขึ้นอินโทรในหัวมาทันที ต้องแอ๊บโลกสวย...ตอบเป็นพระเอก/นางเอกกันนิสนึง หรือจะเป็นทั้งพระเอกและนางเอกพร้อมในคนเดียวกันก็ไม่ผิดแต่อย่างใดค่ะงานนี้ ยิ่งหากตอบได้หล่อและสวยมากเท่าไหร่ จะยิ่งได้คะแนนมากยิ่งขึ้นกับตัวผู้สัมภาษณ์ ดังนั้นเวลาดูหนังดูละคร ก็อย่าลืมจำบทพูดที่พระเอกนางเอกชอบพูดกัน ไว้เป็นประโยชน์กับตัวเองกันด้วย ช่วยได้แน่นอน จัดไปค่ะ

3. เหตุผลที่เลือกมาสมัครงานกับเรา

อันนี้ขอแนะนำเลยว่า ก่อนจะไปสมัครงานทีบริษัทไหน ควรค้นคว้าหาข้อมูลในกูเกิ้ลก่อนไปสัมภาษณ์กันสักนิด เพื่อให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกว่าเรามีความตั้งใจในการไปสมัครงานกับบริษัทนั้น ๆ มีการทำการบ้าน มีการเตรียมตัวไปก่อน เล่าถึงประวัติความเป็นมาของบริษัทหรือธนาคาร ว่าตั้งขึ้นเมื่อใด บริษัทหรือธนาคารมีไปร่วมทุนกับที่อื่นหรือไม่อย่างไร แล้วอันดับของบริษัทหรือธนาคารนั้นๆจัดเป็นอันดับที่เท่าไหร่ในปัจจุบัน หากเล่าได้ดังที่กล่าวมา รับรองว่าเรตติ้งพุ่งปรี๊ดดดอย่างแน่นอน มิใช่ว่าไปเพราะโดนโทรศัพท์มาเรียกตัวไปสัมภาษณ์จาก Head Hunter โดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลย  รับรองได้ว่าเรตติ้งตก หรือคะแนนสัมภาษณ์ต่ำอย่างแน่นอนสำหรับข้อนี้ค่ะ

4. จุดดีจุดด้อย

อันนี้คงต้องใช้จินตนาการผสมประสบการณ์ส่วนตัวกันสักนิด โดยอาจลิสต์มาดูว่าเรามีจุดด้อยอย่างไรกันบ้างสักห้าข้อ แล้วเลือกข้อที่ดูน้ำหนักไม่แรงจนเกินไปนัก ไม่ก่อให้เกิดอคติกับผู้ฟัง หรือผู้สัมภาษณ์ โดยอาจวัดน้ำหนักจากลิสต์ที่ได้เขียนเอาไว้ที่ดูน้ำหนักจัดว่าหนักและเบาน้อยที่สุด แล้วเลือกหยิบยกสักสองข้อมาพูดพอ ส่วนข้อดีคงไม่ต้องให้บอกกันนะคะ จัดไปค่ะ แต่เลือกเอาข้อที่เด็ดสุด สักสองสามข้อก็พอ ไม่ต้องเยอะค่ะ ท่องไว้ว่า Sharp and Short!

5. สามารถทำงานกลับค่ำหรือเข้ามาในวันเสาร์อาทิตย์ได้หรือไม่

เป็นที่เข้าใจกันดีว่า ชีวิตการทำงานในสมัยนี้หนักและเหนื่อยกันแค่ไหน การทำงานกลับค่ำ หรือต้องเข้ามาเคลียรงานช่วงเสาร์อาทิตย์ ถือเป็นเรื่องปกติในซีซันเร่งด่วนหรือบ่อยครั้ง (ดร่าม่าแปร๊ปปป) ดังนั้นขึ้นอยู่กับคุณว่า สามารถรับได้แค่ไหน มีปัจจัยด้านครอบครัวที่เป็นข้อจำกัดตรงนี้หรือไม่ ต้องลองไตร่ตรองให้ดีว่า ทำได้บ้างบางโอกาส หรือไม่สามารถทำได้เลย จะได้พูดหรือตอบผู้สัมภาษณ์ให้เข้าใจตรงกัน มิใช่รับปากไปแล้วแต่ไม่สามารถทำได้จริงก็จะลำบากใจและอาจเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลังได้


ที่เขียนมาทั้งหมดนี้หวังว่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อย อาจไม่ได้เขียนลงรายละเอียดเพราะเขียนให้เพื่อนๆ ที่เข้าใจดีว่าทุกคนคงมีประสบการณ์ตรงนี้กันมาพอควรแล้ว แค่อยากจะเขียนสิ่งที่เป็นไฮไลท์เด่นๆ เพื่อรีเฟรซและรื้อฟื้นความทรงจำกันอีกครา ขอให้โชคดีค่ะทุกคน สู้ๆ และเป็นกำลังใจให้ค่ะ

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Modern Family...



ปกติจะไม่ค่อยอินกับละครที่เกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างครอบครัวที่มีเด็กๆรวมถึงเด็กเล็กๆที่สร้างขึ้นในบ้านเรา มักจะสร้างตามอุดมคติของครอบครัวตัวอย่าง ครอบครัวสมบูรณ์แบบ สุดแสนเพอร์เฟค บ้านหลังใหญ่โต พ่อแม่รวยแสนดี พร้อมลูกๆแสนประเสริฐ ที่หาได้ยากยิ่งในสัมคมปัจจุบัน

หรือไม่ก็เป็นบ้านที่ครอบครัวแตกแยกดราม่าจัดหนัก เด็กกลายเป็นเด็กมีปัญหาแบบสุดโต่ง สังคมฟอนเฟะ ผู้คนรอบกายในสังคมต่างเป็นสิ่งเร้าสิ่งกระตุ้น อันนี้ก็พยายามยัดเยียดเกินกว่าเหตุ ตั้งใจเรียกน้ำตา เรียกเรตติ้งกันไป ซึ่งก็ไม่ค่อยจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคม ยกเว้นคนที่โชคร้ายจริงๆที่ต้องเผชิญเหตุการณ์ดั่งในละคร

แต่ได้มีโอกาสดูซีรีส์ Grandfathered และ Fresh Off the Boat ที่ฉายในช่อง Fox Thai กลับรู้สึกว่าชอบและอินกับบรรยากาศของครอบครัว เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ/แม่/ลูก ที่มัน real สัมผัส จับต้องได้จริง รู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้ต่างไปจากสังคมในปัจจุบัน

เรื่องแรก Grandfathered เป็นเรื่องราวของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ปิดเรื่องท้องกับคนที่เป็นพ่อ กับลูกชายที่โตจนกลายเป็นหนุ่มฮิปสเตอร์ หนุ่มเซอร์รักษ์โลก ที่ยังอาศัยอยู่กับแม่ด้วยรถบ้าน มีความหวังความฝันที่จะขายโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จนกลายเป็นคนมีเงินขึ้นมา ไม่คิดที่จะหางานออฟฟิศ หรือทำงานประจำ มองว่าเป็นความคิดล้าสมัยไปแล้ว ตามคอนเซปท์ของคนรุ่นใหม่

ส่วนคนที่เป็นพ่อ หนุ่มใหญ่เจ้าเสน่ห์ ที่หลงใหลได้ปลื้มกับความหล่อ รวยและมีเสน่ห์ของตัวเอง กิ๊กกับบรรดานางแบบรุ่นลูกไปเรื่อย ไม่ได้คิดจริงจังหรือเป็นตัวเป็นตนกับใคร ตามสไตล์ผู้ชายเจ้าชู้ตัวพ่อ ที่ทำตัวเช่นนี้ตั้งแต่วัยรุ่นจนตัวเองย่างกรายเข้าสู่วัยหนุ่มใหญ่เต็มตัว ที่พึ่งจะรู้ว่าตัวเองกลายเป็นคุณตา เพราะว่าเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีลูกและลูกของตัวเองก็มีลูกแล้วด้วยเช่นกัน

เรื่องราวอันแสนจะอลเวงเหล่านี้กลับกลายเป็นเรื่องราวที่มีเสน่ห์อันแสนประหลาด ของครอบครัวยุคใหม่ ที่ไม่ได้ทำอะไรตามแบบฉบับดั้งเดิมอีกต่อไป เป็นเรื่องราวแบบฉบับพิเศษของแต่ละครอบครัว ที่ต้องด้นสดไปเรื่อย ตามสภาพแวดล้อม สถานการณ์ ปัจจัย ของคนในครอบครัว ที่ไม่ว่าแต่ละคนจะมีความไม่สมบูรณ์อยู่ในตัวกันทุกคน แต่ก็พยายามสร้างสิ่งดีๆ ขึ้นมาเพื่อ ให้ความหมายของคำว่า "ครอบครัว" กลับมามีความหมายที่ยิ่งใหญ่สำหรับ "หลานรัก" ที่ได้เกิดขึ้นมาในครอบครัวเช่นนี้

ส่วนอีกเรื่อง Fresh Off the Boat เรื่องราวของครอบครัวชาวจีนที่พอจะมีฐานะอยู่บ้าง เปิดร้านอาหารเล็กๆที่ในเมืองเต็มไปด้วยชาวผิวขาว มีเรื่องราวของความแตกต่างทางเชื้อชาติ แนวคิด วัฒนธรรม ประเพณี โดยเฉพาะเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของคนจีนที่มีความคิดความอ่าน แตกต่างกับความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของฝรั่งอย่างมาก

แล้วที่เป็นเอกลักษณ์คือคุณแม่ชาวจีนของครอบครัวนี้ ที่เผด็จการ เป็นหัวหน้าครอบครัว ประหยัดการใช้เงินอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช จนเข้าข่ายถึงความงกเรียกแม่ มีมุกเด็ดๆของความงกตัวแม่มาเรียกเสียงฮา ได้เป็นระยะๆ แม้ว่าตัวแม่จะดูเฮี๊ยบกับลูกเสียจนเกินไปในหลายครั้งหลายครา แต่สุดท้ายแล้ว ก็มีซีนที่อธิบายได้ว่า ที่ทำไปเพราะว่ารักและห่วงใยมากจนเกินไปในบางครั้ง ตามสไตล์คนเอเชีย

หรือประเด็นของลูกคนโตเริ่มเป็นวัยรุ่น เริ่มไม่เข้าใจแม่ ว่าทำไมแม่ตัวเองถึงต้องทำตัวเฮี๊ยบเกินกว่าเหตุ หากเปรียบเทียบกับแม่ของเพื่อนๆที่เป็นฝรั่ง จึงมักจะไม่ชอบแม่ตัวเอง และมักจะอิจฉาแม่ของเพื่อน ที่ทำตัวสนุกและเป็นเพื่อนกันมากกว่าจะเป็นแม่ ก็มีซีนที่อธิบายในตัวมันเองได้ว่า ทั้งที่จริงๆแล้วแม่ตัวเองก็เป็นคนตลกและสนุก แต่เมื่อทำหน้าที่แม่แล้ว ต้องรับบทบาทและหน้าที่ความเป็นแม่ ซึ่งหากไม่ทำตัวและบุคคลิกเช่นนี้ ลูกก็ดื้อและไม่เชื่อฟังและทำตาม 

สังคมบ้านเราก็ไม่ต่างจากสองเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เพราะสังคมในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวพ่อแม่อยู่ด้วยกัน ครอบครัวพ่อเลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว ต่างก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ปรับตัวให้ทันเหตุการณ์ และสถานการณ์ที่ลูกๆและคนในครอบครัวกำลังเผชิญอยู่

สังคมในทุกวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสีเทา แล้วแต่ว่าจะเฉดเข้มหรือเฉดอ่อน อยู่ที่คนเป็นพ่อ แม่ และลูก ๆ จะปรับตัวให้ครอบครัวของตัวเอง เข้ากับสังคมนั้นๆ ได้อย่างไร และปรับตัวให้เข้ากันระหว่างคนในครอบครัวได้อย่างไร เพื่อยังคงความหมายที่ยิ่งใหญ่ของคำว่า "ครอบครัว"

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สุดยอดพนักงานที่เหล่านายจ้างต่างต้องการ



          เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าทุกวันนี้เป็นช่วงที่พวกเราอยู่ในยุคที่เศรษฐกิจไม่ดี และทุกคนก็คงคงเข้าใจว่าเศรษฐกิจไม่ดีในที่นี้คือทั้งโลก มิใช่แค่ประเทศไทยที่ดีเดียวเท่านั้น และยิ่งเราอยู่อาศัยในโลกไร้พรมแดนด้วยแล้ว เพียงแค่เด็ดดอกไม้ก็สะเทือนไปถึงดวงดาวในระบบสุริยจักรวาลเดียวกัน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวร้ายๆทางเศรษฐกิจที่ใดในโลก ต่างส่งผลถึงเศรษฐกิจประเทศต่างๆตามแต่ปัจจัยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

          ด้วยปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมา ทำให้อัตราคนตกงานเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี อันเนื่องด้วยเหล่าบรรดาบริษัทต่างเจอเผชิญพิษเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ และยังรวมไปถึงเหล่าบรรดาบริษัทองค์กรต่างๆ ต้องดำเนินนโยบายรัดเข็มขัด ลดค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองในองค์กรลง ซึ่งนั่นก็ย่อมหมายถึงการลดพนักงานในองค์การเองด้วย จากแผนกหนึ่งมีพนักงานทั้งหมด 5 คน ก็ลดจำนวนพนักงานลงเหลือ 3 คน  โดยงานในแผนกทั้งหมดก็ต้องเกลี่ยมาให้พนักงานที่เหลือทำ

          ดังนั้นหากใครที่กำลังตกงาน หรือมองหางานอยู่ในขณะนี้ จึงอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ว่า พนักงานเช่นไรที่เหล่าองค์กรหรือนายจ้างนั้นต้องการในยุคนี้

  1. ประสบการณ์ของคุณคือสิ่งที่มีค่าที่สุดจงเรียนรู้มันให้ดีในระดับทั้งเชิงกว้างและลึก เพื่อเป็นข้อได้เปรียบในการสมัครงาน หรือทำงานในองค์กรต่างๆ เพราะด้วยสภาพเศรษฐกิจที่การแข่งขันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นแต่ละองค์กรจะไม่เสียเวลาจ้างพนักงานจบใหม่มาเทรนด์กันอีกต่อไปแล้ว ยกเว้นแต่องค์กรใหญ่ๆ ที่ยังคงคอปเซปท์นี้เปิดอยู่ แต่หากเป็นองค์กรเล็กๆแล้ว ล้วนแล้วแต่จ้างคนทำงานที่มีประสบการณ์สูงๆมาทำงานเพื่อที่จ้างมาแล้วมอบงานให้ทำได้ตั้งแต่วันแรกของการทำงานกันเลย

  2. มุมมองและทัศนคติในการทำงานเชิงบวก ไม่ว่าจะมอบหมายงานให้คุณสักกี่สิบอย่าง คุณก็พร้อมที่จะทำงานที่ได้รับมอบหมายมาและลุยให้เต็มที่ โดยไม่แสดงทัศนคติในเชิงลบ เพราะเมื่อคุณมีมุมมองในเชิงลบแล้ว นั่นคือสิ่งที่จะกดดันและบีบคั้นอารมณ์ของคุณให้มีปัญหากับการทำงาน และปัญหาจะรุนแรงขึ้นตามลำดับในภายภาคหน้า ดังนั้นต้องพร้อมปรับทัศนคติต่อการทำงานให้ดี หากคุณคิดที่จะทำงานเป็นพนักงานในองค์กรต่อไป เพราะอย่าลืมว่าปัญหานี้เกิดขึ้นกันทุกองค์กร

  3. อย่าทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสารสมัยก่อนแต่จงทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสารมัลติฟังก์ชั่นเหมือนเช่นในยุคนี้ หากเทียบกับทหาร พนักงานในองค์กรยุคนี้ต้องทำตัวเป็น Super Soldier พร้อมทำได้ทุกอย่าง ทุกหน้าที่ ทุกบทบาท แบ็คอัพงานแทนกันได้ ทั้งในแผนก และแผนกใกล้เคียง จงทำตัวเป็นน้ำค่อนแก้ว อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว พร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งที่เจอ และทุกอย่างที่อ่านมา และแน่นอนว่าทักษะทางคอมพิวเตอร์นั้นเป็นสิ่งสำคัญ หากเรียนรู้ขั้นแอดวานซ์ได้จงเรียนรู้เพื่อเป็นประโยชน์ในการทำงาน และเป็นข้อได้เปรียบในการสมัครงาน       


           ที่กล่าวมาทั้งหมดที่อาจแลดูว่าน้อย แต่เชื่อเถอะว่าหากคุณมีคุณสมบัติครบถ้วนท้ง 3 ข้อนี้ รับรองได้ว่าคุณจะเป็นหนึ่งในพนักงานที่เหล่าบรรดานายจ้างและองค์กรต่างๆต้องการตัวโดยไม่ต้องกลัวตกงานกันอย่างแน่นอน สู้ๆกันต่อไปค่ะ "เหล่ายอดมนุษย์เงินเดือน" ทั้งหลาย

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ศิลปะการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข



ในช่วงที่กระแสการออมเงินและการลงทุนกำลังมาแรง สอดรับกับสภาวะเศรษฐกิจไม่ดีอย่างเช่นในยุคนี้ ทำให้ผู้คนต่างหันมาให้ความสนใจในเรื่องเทคนิคหรือวิธีในการออมเงินอย่างไรให้ได้เงินเยอะในเวลาอันรวดเร็ว ลงทุนอย่างไรให้ได้เงินล้านภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ซึ่งหลายบทความที่มีคนหยิบยกเอาราคาของกาแฟหนึ่งแก้วมาเป็นกรณีตัวอย่างของค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย หากงดกาแฟหนึ่งแก้วต่อปี คุณสามารถลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ลงและคุณจะสามารถเอาไปลงทุนอะไรให้งอกเงยได้มากขึ้น

อันที่จริงแล้วมันก็เป็นวิธีคิดที่ดีสำหรับผู้ที่มีวัตถุประสงค์และต้องการเดินหรือบางคนอาจถึงกับวิ่งไล่ตามความฝันหรือเป้าหมายที่แต่ละคนตั้งเอาไว้เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์นั้นๆ จนหลงลืมความสุขรอบกายในทุกช่วงเวลาของชีวิตที่กำลังดำเนินไปในแต่ละวัน สังเกตได้ว่าเด็กรุ่นใหม่ไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้างที่ไม่ใช่แนวทางของตนเอง สิ่งที่ตัวเองกำลังสนใจ หรือสิ่งที่ทำให้ตัวเองบรรลุถึงเป้าหมาย ใช้ชีวิตแบบเร่งรีบเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย มองหน้าพุ่งตรงไปสู่จุดหมายปลายทางแต่เพียงอย่างเดียว

แต่ในความเป็นจริงของชีวิต ไม่ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จ และมีอีกหลายคนที่พลาดล้มขณะเดินหรือวิ่งตามทางเดินของชีวิตแต่ละคน ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ประสบการณ์และการเรียนรู้ในการใช้ชีวิตจะช่วยคุณให้ผ่านมันไปได้ สามารถล้มแล้วลุกขึ้นสู้ใหม่ได้ ขณะที่หากใครขาดทักษะในด้านนี้ ที่ตั้งหน้าตั้งตาจะพุ่งเป้าไปสู่จุดหมาย จะกลายเป็นความเสี่ยงสูงในชีวิต เพราะทั้งชีวิตอาจไม่เคยรู้จักล้มมาก่อน เลยไม่เคยได้เรียนรู้ว่าเมื่อล้มนั้นจะเป็นเช่นไร แล้วการจะลุกขึ้นออกก้าวเดินใหม่นั้นต้องทำเช่นไร

การใช้ชีวิตของมนุษย์คนเรานั้นมีทั้งทางด้านศาสตร์และด้านศิลป์ และศิลปะการใช้ชีวิตก็เป็นเรื่องที่ต้องสั่งสมประสบการณ์ หรือเรียนรู้จากคนรุ่นก่อน โดยการอ่านจากหนังสือ โดยการชมภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเรื่องจริงของบุคคลในสังคม โดยการชมสารคดีชีวประวัติของบุคคลที่น่ายกย่อง หรือโดยการได้พูดคุยกับคนรุ่นก่อน เพื่อรับรู้เรื่องราวที่เค้าเหล่านั้นผ่านมาในช่วงชีวิต ได้เรียนรู้จนจบจากมหาวิทยาลัยชีวิตในแบบฉบับของตนเอง

เพราะการมีเงินใช่ว่าจะเป็นทุกคำตอบสำหรับชีวิต แน่นอนว่าการมีเงินย่อมทำให้ชีวิตสุขสบาย แต่หาใช่ว่าจะไม่ประสบกับปัญหาด้านอื่น ดังที่เราได้รับรู้กันจากเรื่องราวตามสื่อต่างๆ หรือจากคนรู้จัก บางคนมีเงินมากล้น แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในโรงพยาบาล บางคนที่บ้านรวยมากมาย แต่ลูกกลับป่วยทางจิต พ่อแม่ต้องขับรถพานั่งตระเวนใช้ชีวิตอยู่แต่บนรถตู้ หรือบางคนรู้จักแต่วิธีหาเงินมาทั้งชีวิต พอมีเงินเก็บเงินใช้เหลือเฟือ ก็ไม่รู้ว่าการแสวงหาความสุขของชีวิตควรทำเช่นไร จนต้องกลับมาประกอบอาชีพเดิมหลังจากที่ลองหยุดไปนั่งอยู่บ้านเฉยๆ ร่วมปี

ไม่ว่าใครจะมีปัญหามากหรือปัญหาน้อยเพียงใด ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องไม่ลืมที่จะเรียนรู้ศิลปะของการใช้ชีวิตให้มีความสุขในสิ่งที่ตนเองมี ทุกสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอ เพราะแม้แต่กาแฟหนึ่งแก้ว นอกจากจะเป็นค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแล้ว แต่ยังให้อะไรได้มากกว่าแค่เพียงรสชาติของกาแฟที่คุณดื่ม ไม่ว่าจะเป็นความสุขกับบรรยากาศภายในร้านที่ตกแต่งมาเป็นอย่างดี ความสุขแห่งการรับรู้ถึงความหอมกรุ่นของกลิ่นกาแฟ ความสุขจากการได้นั่งดื่มด่ำฟังเพลงชั้นเยี่ยมภายในร้าน ว่าแล้วก็ขอตัวไปร้านกาแฟก่อนนะคะ :)

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

จะออมเงินอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า


หลังจากห่างหายการเขียนบล็อกพักใหญ่ๆ วันนี้พอส่งงานเขียนบทความเสร็จแล้ว เลยขอนำเสนอเรื่องราวว่าด้วยเรื่องเงินๆทองๆ ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของประเทศไทยในปัจจุบันต่ำเตี้ยติดดินเสียนี่กระไร จึงทำให้ใครหลายๆ คนต่างต้องศึกษาหาข้อมูลเพื่อแสวงหาผลตอบแทนสูงสุดของเงินออมของรักของหวงของเรา ที่อุตส่าห์เก็บอดออมกันมา ไม่ว่าจะหย่อนกระปุก เก็บแบงค์ 20 เก็บแบงค์ 50 ตามวิธีฮิตที่คนชอบใช้เป็นเทคนิคในการออมก็สุดแล้วแต่จะว่ากันไป

มีงานที่เคยรับเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ เลยอยากนำเอาข้อมูลที่ได้ไปค้นคว้า นำมารีไรท์ใหม่เพื่อเขียนลงบล็อกในวันนี้ แบ่งปันข้อมูลว่าปัจจุบันนี้มีช่องทางไหนที่น่าสนใจ เพื่อแสวงหาผลตอบแทนสูงสุดของเงินออมกันค่ะ

บัญชีเงินฝากออมทรัพย์

แน่นอนว่าใครหลายคนต่างต้องนึกถึงบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เป็นอันดับแรกของรูปแบบการออมทรัพย์ ที่มีกันมาช้านาน นึกถึงสมัยเด็กๆ ที่นำเอาเงินหยอดกระปุกมาฝากเข้าบัญชีธนาคารออมสิน เป็นแคมเปญในการรณรงค์เรื่องการออมเงินตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งเป็นตัวอย่างที่คลาสสิกและดีมาก แต่ปัจจุบันนี้รูปแบบบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เอง ก็มีรูปแบบที่หลากหลายมาขึ้น เพื่อปรับตัวให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น มาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง

1. เงินฝากประจำ

บัญชีนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ เพราะทุกคนคงเข้าใจกันดีว่า มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน จะ 3 เดือน หรือ 6 เดือน ก็ว่ากันไป อัตราดอกเบี้ยของประเภทนี้จะสูงกว่าออมทรัพย์ปกติ แต่จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15 % และหากถอนเงินก่อนกำหนด ก็จะเสียสิทธิในการรับดอกเบี้ยตามเงื่อนไขของธนาคาร

2. เงินฝากออมทรัพย์

บัญชีนี้เชื่อว่าทุกคนต่างต้องมีเปิดใช้กันอยู่แล้ว เพราะมีความคล่องตัวสูง จะฝากเงิน หรือถอนเงิน เท่าไหร่ เมื่อไหร่ ยังไงก็ได้ โดยทำธุรกรรมผ่านหน้าเคาน์เตอร์ของธนาคาร ผ่านตู้เอทีเอ็ม หรือจะผ่าน e-banking ก็ยิ่งสะดวกใหญ่ อันนี้แล้วแต่พฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคล

3. เงินฝากปลอดภาษี

บัญชีนี้หลายคนคงเริ่มคุ้นชินกันมากขึ้นแล้ว เพราะเป็นโครงการพิเศษสำหรับการออมเงินได้เป็นอย่างดี เพราะจะเป็นการบีบบังคับตนเองให้ต้องกันเงินส่วนหนึ่งมาเข้าบัญชีนี้ทุกๆเดือนตลอดระยะเวลาของโครงการ ไม่ว่าจะเป็น 24 เดือน หรือ 36 เดือน จะได้รับดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาในอัตราที่สูงกว่าแบบปกติ และยังได้รับสิทธิของการยกเว้นภาษีอีก้ดวย แต่มีเงื่อนไขว่าต้องไม่เกิน 600,000 บาทตลอดทั้งโครงการ และเปิดบัญชีได้ 1ชื่อ ต่อ 1 บัญชีเท่านั้น

4. เงินฝากแบบขั้นบันได

บัญชีนี้ระยะหลังแต่ละธนาคารชอบนำมาเป็นจุดขายและนำมาโฆษณาให้เห็นกันบ่อยๆ ซึ่งผู้ที่จะฝากเงินประเภทนี้ต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เพราะอัตราดอกเบี้ยที่เห็นจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่กำหนดเป็นช่วง ๆ เช่น 1 - 3 เดือน ===> 1% ต่อปี, 4 - 6 เดือน ===> 2.5% ต่อปี, 7 - 9 เดือน ===> 3% ต่อปี โดยดอกเบี้ยที่จะได้รับในแต่ละขั้นนั้น ทางธนาคารจะโอนจำนวนเงินของดอกเบี้ยที่ได้รับเข้าบัญชีออมทรัพย์ที่ได้ทำการผูกไว้กับบัญชีนี้ตั้งแต่ตอนที่เปิดบัญชีครั้งแรก ตามกำหนดระยะเวลาที่ครบกำหนด ดังนั้นดอกเบี้ยจะไม่ทบต้น

เปรียบเทียบดอกเบี้ยเงินฝากของแต่ละธนาคาร

บัญชีเงินฝากไม่ประจำ ME by TMB

อันนี้ต้องเรียกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินในรูปแบบใหม่ ที่ธนาคารทหารไทยเป็นต้นแบบนวัตกรรมของเทรนด์การเปลี่ยนแปลง ไม่จำเจ ไม่ยึดติด กับรูปแบบของธนาคารพาณิชย์แบบเดิมๆ อีกต่อไป จนทำให้บัญชีประเภทนี้ได้รับความนิยมค่อนข้างดีเลยทีเดียว เนื่องด้วยไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ชอบใช้อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวันกันอยู่แล้ว สามารถไปเปิดบัญชีครั้งแรกที่สาขาเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นก็สามารถทำธุรกรรมทางการเงินแบบออนไลน์กันได้เลย แถมไม่มีเงื่อนไขของระยะเวลาฝากเงิน หรือข้อกำหนดขั้นต่ำของเงินฝาก แถมยังมีโอกาสได้รับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (ตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของธนาคาร) หากใครสนใจสามารถคลิกดูรายละเอียดของบัญชีนี้ได้

ME by TMB

สลากออมทรัพย์

รูปแบบนี้จะเหมาะมากกับคนที่ชื่นชอบในเรื่องการเสี่ยงโชค เพราะนอกจากจะได้รับดอกเบี้ยในรูปแบบของเงินฝากแล้ว ยังจะมีโอกาสได้รับเงินหรือของรางวัลในแต่ละงวดตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของแต่ละธนาคาร ซึ่งส่วนใหญ่กำหนดระยะเวลาของสลากออมทรัพย์จะอยู่ประมาณ 3 - 5 ปี ข้อดีของสลากออมทรัพย์นี้มีหลายอย่าง เพราะนอกจากจะได้รับการยกเว้นภาษีแล้ว ยังสามารถนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ด้วย โดยสลากออมทรัพย์ยอดฮิตก็มีเพียงสองแห่งเท่านั้นที่มี ได้แก่ ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือที่เรียกสั้นๆว่า ธกส.

สลากออมสิน

สลากธกส.

พันธบัตรรัฐบาล

อันที่จริงแล้วผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทนี้ไม่ถือว่าเป็นรูปแบบการออมทรัพย์ แต่ถือว่าเป็นการลงทุนแต่หลายคนก็คงเริ่มคุ้นเคยกันบ้างแล้ว ดังจะเห็นได้จากการโฆษณาของธนาคารต่างๆ ที่เป็นช่องทางในการซื้อพันธบัตรของรัฐบาล เพราะพันธบัตรประเภทนี้มีความมั่งคงสูง และมีความเสี่ยงต่ำ ในขณะเดียวกันก็ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ โดยจะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดเมื่อครบระยะเวลา ซึ่งโดยส่วนใหญ่ประมาณ 5 ปีขึ้นไป

กองทุนรวมตลาดเงิน

อันนี้อาจไม่คุ้นสำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการซื้อกองทุนมาก่อน แต่อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นแล้วว่า ด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ไม่เร้าใจเราอีกต่อไป ทำให้ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ชาญฉลาด ต่างต้องแสวงหาสิ่งที่เร้าใจใหม่กว่า ซึ่งกองทุนรวมเป็นคำตอบที่ดี ตัวเลือกที่ใช่ สำหรับคนที่มีเงินออม แล้วไม่ได้ใช้ทำอะไรภายในหนึ่งปี สามารถนำเงินก้อนนั้นแบ่งมาลงทุนกับกองทุนรวมตลาดเงิน โดยการซื้อขายของกองทุนประเภทนี้มีความคล่องตัวสูง ไม่ต่างจากบัญชีออมทรัพย์ สามารถเปิดบัญชี และทำการซื้อขายได้ทุกวันทำการของธนาคาร โดยจะได้รับเงินหลังจากวันขายประมาณ 1 - 2 วัน และไม่เสียภาษีเหมือนเงินฝากประจำด้วย

อัตราผลตอบแทนย้อนหลัง1ปีของกองทุนรวมตลาดเงิน

กองทุนรวมตราสารหนี้ 

สำหรับกองนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ในการซื้อกองทุนรวมตลาดเงินมาแล้ว เริ่มเข้าใจคอนเซปท์ วัตถุประสงค์ และรู้จักวิธีการบริหารเงิน ยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อแสวงหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นเช่นกัน เพราะความเสี่ยงของตลาดตราสารหนี้อาจจะสูงกว่าเมื่อเทียบกับตลาดเงิน แต่อัตราผลตอบแทนของตลาดตราสารหนี้ก็จะอยู่ในระดับที่สูงกว่าตลาดเงินเช่นกัน โดยได้รับการยกเว้นภาษีเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นระยะเวลาในการลงทุนของตลาดตราสารหนี้เหมาะที่จะใช้เวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป

อัตราผลตอบแทนย้อนหลัง1ปีของกองทุนรวมตราสารหนี้

จากข้อมูลที่นำเสนอไปทั้งหมด หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางให้กันบ้างไม่มากก็น้อย ส่วนใครจะชื่นชอบรูปแบบใดมากกว่ากัน คงต้องขึ้นอยู่กับความต้องการใช้เงิน เงื่อนไขในการออม และไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ว่ารูปแบบใดจะตอบโจทย์ให้กับท่านได้มากที่สุด

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยระหว่างทริป Fukuoka และข้อมูลดีๆ สำหรับคนอยากไปแบ็คแพ็คที่ญี่ปุ่น



เปิดดูเฟซบุ๊กเช้านี้ เห็นโพสต์เก่าเมื่อปีที่แล้วแจ้งเตือนขึ้นมา ว่าปีที่แล้วมีเหตุการณ์อะไร หรือเราโพสต์อะไรไว้บ้าง เลยเห็นว่าได้เคยเขียนเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยระหว่างทริปที่ไปเที่ยว Fukuoka เอาไว้ เลยอยากเอาเรื่องนี้มาแบ่งปันกันที่ตรงนี้ค่ะ
  1. ผู้หญิงญี่ปุ่นเดินส้นสูงเก่งมาก ไม่ว่าจะขึ้น ลงบันไดในสถานีรถไฟ หรือแม้กระทั่งปั่น จักรยาน ส้นเข็มสี่นิ้วก็เห็นมาแล้ว
  2. เด็กญี่ปุ่นเดินเก่ง เดินอึด แต่เล็กๆ เพราะหากเป็นเด็กวัยที่เข้าโรงเรียนแล้ว จะเดินกันตลอด โดยที่พ่อแม่จะไม่มีอุ้มให้เลยแม้แต่น้อย 
  3. คนญี่ปุ่นเป็นชาติที่รักษาความสะอาดได้ ยอดเยี่ยมมากๆ จะเข้าห้องลองชุดยังต้อง ถอดรองเท้า สวมถุงผ้าคลุมศรีษะ และก่อนปิดร้านค้าในห้าง มีการปัดกวาดเช็ดถูด้วย 
  4. วัฒนธรรมต่อคิวเพื่อเข้าร้านอาหารยอดฮิต ก็ไม่น้อยหน้าบ้านเรา แต่ละร้านคิวยาวมากๆ และบางร้านที่ฮิต ก็ใช่ว่าจะอร่อย ร้านธรรมดา บางร้านยังจะอร่อยมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นอย่ากลัวที่จะลองร้านที่ไม่ได้กล่าวถึงในเนต 
  5. โปรดระวังว่า pocket wifi ที่เช่าไปอาจใช้ ไม่ได้ โปรดหาตัวช่วยอื่นไว้เป็นอีกoptionด้วย 
  6. คนญี่ปุ่นรักษาระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัดหากนักท่องเที่ยวไปเที่ยว ควรเรียนรู้สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำก่อนไป เพื่อไม่ถูกมองว่าเป็นนักท่องเที่ยวจีนแบบที่เราชอบบ่นกันค่ะ 
  7. อยากรู้ว่ากาญี่ปุ่นร้องยังไง ให้ดูอาราเร่ ร้องยังงั้นเป๊ะ!(นึกว่าร้องแบบนั้นแค่ในการ์ตูน) 
  8. ส่วนใหญ่คนไปที่นี่คาดหวังว่าจะได้ขึ้นรถไฟสายท่องเที่ยวขบวนพิเศษ แต่จะบอกว่า รถไฟขบวนธรรมดาบ้านเค้า ก็หรูและน่านั่ง กว่าบ้านเรามากแล้ว อีกอย่างได้เห็นวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของคนพื้นที่ระหว่างทางไปด้วย 
  9. หากจำเป็นต้องหาตัวช่วย ให้มองหาวัยรุ่นและวัยทำงานที่พอจะเข้าใจภาษาอังกฤษบางคำ หรือมิฉะนั้นเค้าก็ใช้แอพแปลภาษามาช่วย ในการสื้อสาร พอจะช่วยเราได้อยู่บ้าง 
  10. รถเมล์บ้านเค้าจะดับเครื่องกัน ทุกๆสี่แยก และจะรักษาความปลอดภัยมาก ห้ามเดินไป เดินมาระหว่างรถวิ่ง ต้องรอให้รถหยุดก่อนถึงลุกได้ 
  11. ก่อนจะนั่งรถเมล์หรือรถไฟ โปรดสังเกตว่า ไม่ได้เป็นที่นั่งสำรองให้เด็ก ผู้สูงอายุและ คนพิการ
  12. ก่อนขึ้นรถเมล์ โปรดเตรียมเหรียญให้พอดีกับค่าโดยสารที่จะปรากฎขึ้นบนหน้าจอให้เห็น แต่หากไม่พอ เค้ามีเครื่องแลกเหรียญให้ อยู่ด้านข้างคนขับ สะดวกมากๆ 
  13. เวลาขึ้นรถเมล์ อย่าลืม! หยิบตั๋วที่เครื่อง ออกตั๋วข้างๆประตูทางขึ้น รถเมล์ทุกครั้ง เป็นตัวบอกระยะสถานีที่เราขึ้นมาและ ค่าโดยสารของเรา ตอนลงก็หย่อนตั๋ว พร้อมค่าโดยสารลงในกล่องข้างๆ คนขับ 
  14. เวลาขึ้นsubway ดูสายรถไฟให้ดีว่าสายที่ เราไป ขบวนอะไร แล้วต้องเปลี่ยนสายหรือไม่ ที่สถานีไหน เปลี่ยนสายไม่เดินขึ้นก็เดินลง 
  15. สถานีชินคันเซ็น อยู่แยกกับสถานี subway และเวลาขึ้นชินคันเซ็น สังเกตุให้ดีว่า ขบวนที่จะไป รถขบวนอะไร แทรคไหน โบกี้ไหน เป็นแบบต้องจองหรือไม่ต้องจอง สูบบุหรี่ได้ หรือห้ามสูบบุหรี่ เช็คให้ดี! 
  16. ร้านค้าที่นี่จะปิดไว สามทุ่มนี่ปิดหมดแล้ว อย่าช้อปเพลิน เด๋วต้องออกจากห้างด้วยทาง พิเศษเวลาห้างปิด 
  17. วัฒนธรรมตู้หยอดเหรียญ ต้องใส่เหรียญ หรือแบงค์ไปก่อน ค่อยกดปุ่มเลือกสินค้า สินค้า จึงจะออกมา ส่วนตังค์ทอนต้องกดอีกปุ่มถึงออกมา 
  18. บานเลื่อนหน้าประตูบางร้านไม่ได้เป็นแบบ อัตโนมัติ ต้องใข้มือกดปุ่มก่อนถึงจะเปิดให้ (หน้าแตกไปเรียบร้อย T_T) 
  19. วิวัฒนาการของห้องน้ำญี่ปุ่นล้ำลึกมาก ยิ่งไปตามห้างยิ่งไฮเทค ซึ่งแต่ละที่ไม่เหมือน กันเลย อันนี้ต้องใช้กึ๋นส่วนตัวล้วนๆ สนุกดี ^^ (กลับมาใหม่ๆแทบจะใช้สายฉีดชำระไม่เป็น ;p)

แต่ขอเสริมนิดนึงว่าก่อนเดินทางควรหาโปรแกรมไปเที่ยว และวางแผนประจำวันไปเลยว่า วันนี้จะไปเที่ยวที่ไหน เดินทางเช่นไร ขึ้นรถไฟกี่ต่อ ขึ้นที่สถานีไหน ต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าหรือไม่ เพราะบางขบวนก็ต้องซื้อล่วงหน้า โดยเฉพาะกับรถไฟขบวนท่องเที่ยวพิเศษ แต่หากไม่ซีเรียส ขึ้นรถไฟขบวนไหนก็ได้ ส่วนใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อล่วงหน้า 

ในการซื้อตั๋วล่วงหน้า ส่วนใหญ่ซื้อได้ที่ JR Rail Pass ที่เป็นสถานีใหญ่เท่านั้น ไม่ใช่ซื้อได้ทุกสถานี และเวลาหรือรอบเที่ยวที่ออกก็มีระบุไว้ใน Time Table ของตารางรถไฟ ซึ่งสามารถขอได้ที่สถานี

ส่วนในเรื่องแหล่งของข้อมูลที่นำเที่ยว ขอนำมารวบรวมลิงค์ไว้ ณ ที่ตรงนี้เผื่อเป็นประโยชน์กับมือใหม่ที่อยากลองแบ็คแพ็คญี่ปุ่นกันดู เที่ยวญี่ปุ่นไม่ยากอย่างที่คิด แต่สำหรับมือใหม่ขอแนะนำให้ไปเที่ยวเมืองท่องเที่ยวที่ไม่ใช่เมืองหลวงเสียก่อน เพราะจะง่ายและสะดวกต่อการเดินทางที่ประเทศญี่ปุ่น ทำความรู้จักและคุ้นชินกับการเดินทางเสียก่อน ซึ่งพอได้รับประสบการณ์แล้วหลังจากนั้นก็ลุยต่อได้เลยค่ะ : )

คลังข้อมูลเที่ยวญี่ปุ่น ณ พันทิป

The Best Guide Book

Trip Advisor

Lonely Planet 

เที่ยวญี่ปุ่นดอทคอม

ทริปท่องเที่ยวแนวครอบครัว 

เปรียบเทียบราคาสายการบิน

Jetstar Airline

Timetable Railway in Japan

ร้านค้ายอดฮิตที่ต้องรู้จักก่อนไปญี่ปุ่น

ข้อมูลดีๆก่อนเลือกซื้อตั๋วเครื่องบินและตั๋วรถไฟ

ไปญี่ปุ่นแต่งตัวยังไงสำหรับสาวๆโดยเฉพาะ

ทริปญี่ปุ่นสำหรับสาวมุ้งมิ้ง

ขนาดและน้ำหนักของกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่อง

Weather Forecasts

 ***มารยาทเล็กๆน้อยๆที่ควรรู้ก่อนไปเที่ยวญี่ปุ่น***

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***
 

วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ชาวฟรีแลนซ์ก็กู้เงินได้แล้วนะรู้ยัง



วันก่อนมีโอกาสรับเขียนบทความเกี่ยวกับการกู้เงิน แบบไม่มีหลักประกัน ซึ่งน่าจะมีประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่ได้ทำงานประจำ หรือที่เรียกว่า ฟรีแลนซ์ เลยอยากนำมาแบ่งกันให้ทราบค่ะ

สำหรับชาวฟรีแลนซ์ที่กำลัง มองหาแหล่งเงินกู้เพื่อมาเสริมสภาพคล่อง หรือเพื่อนำไปประกอบอาชีพ หรือประกอบธุรกิจนั้น เนื่องด้วยชาวฟรีแลนซ์ไม่ได้มีรายได้ประจำเหมือนพนักงานประจำ ไม่มีเงินเดือนที่จะเข้ามาในแต่ละเดือน ทำให้ทางธนาคารส่วนใหญ่จะคิดว่า เป็นความเสี่ยงทางความสามารถในการชำระหนี้ ว่ารายได้ของท่านนั้นจะสามารถมาชำระหนี้ในแต่ละเดือนหลังจากกู้ไปแล้วไหว หรือไม่ ซึ่งนั่นจึงทำให้เป็นข้อจำกัดในการกู้เงินของชาวฟรีแลนซ์อยู่พอสมควร รวมไปถึงส่วนใหญ่จะไม่มีหลักประกันในการกู้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือหลักทรัพย์ต่างๆ ทำให้ต้องเสาะหาตัวช่วยที่จะเป็นทางเลือกในการกู้เงินแบบไม่ต้องใช้หลัก ประกันในการขอกู้ เช่นสินเชื่อส่วนบุคคล เรามาดูกันว่าประเภทของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ชาวฟรีแลนซ์สามารถกู้ได้มีอะไร กันบ้าง

  1. สินเชื่อส่วนบุคคลกับธนาคารพาณิชย์

    หรืออาจเรียกว่าสินเชื่อเงินสด หรือสินเชื่ออเนกประสงค์ของธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ซึ่งสินเชื่อประเภทนี้จะค่อนข้างใช้ระยะเวลาในการพิจารณาไม่นาน เนื่องจากไม่มีเงื่อนไขหลักประกันในการขอกู้ และวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่จะกู้เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ ประกอบธุรกิจ เสริมสภาพคล่อง แหล่งเงินทุน หรือแม้แต่นำไปใช้เพื่ออุปโภคและบริโภคส่วนบุคคล โดยหลักเกณฑ์ทั่วไปจะให้วงเงินสูงสุดไม่เกิน 5 เท่าของรายได้  โดยอาจพิจารณาจากรายได้ที่แสดงการเดินบัญชีตัวเลขเข้าออกในแต่ละเดือน มาเป็นหลักฐานทางการเงินอย่างหนึ่ง ดังนั้นหากว่าใครที่คิดว่าอยากจะทำวงเงินกู้กับทางธนาคารไหน ควรเปิดบัญชีและทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารนั้น เพื่อจะได้มีหลักฐานทางการเงินแสดงยอดเงินเข้าออกระหว่างเดือน เป็นหลักฐานที่ชัดเจนและทำให้ธนาคารพิจารณาอนุมัติได้ง่ายขึ้นกว่าไม่มีหลัก ฐานทางการเงินใดๆไปแสดงเลย หรือหากเป็นเจ้าของธุรกิจ อาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติมระบุว่า ต้องดำเนินธุรกิจปัจจุบันเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 2 - 3 ปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทนี้ต้องทำใจว่าอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูงกว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปกติ ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 20 - 28 %
  2. โครงการสินเชื่อพิเศษกับธนาคารของรัฐ 

    เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เพราะว่าธนาคารเหล่านี้มักจะออกรูปแบบโครงการเพื่อเป็นการสอดรับกับนโยบาย ต่างๆ ของรัฐบาลที่ต้องการออกกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในช่วงนั้นๆ ซึ่งโดยมากโครงการเหล่านี้มักจะจำกัดสิทธิให้เฉพาะกับข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ แต่ในบางกรณีก็มีโครงการพิเศษสำหรับประชาชนโดยทั่วไปด้วย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของโครงการสินเชื่อพิเศษเหล่านี้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำกว่า อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อทั่วไป ดังนั้นผู้ที่กำลังคิดจะกู้เงิน อาจต้องติดตามข่าวสารจากธนาคารเหล่านี้เพื่อประกอบการพิจารณาก่อนตัดสินใจ เลือกกู้เงินกับสถาบันการเงินใด
  3. นาโนไฟแนนซ์ 

    คำนี้อาจยังใหม่ และไม่คุ้นหูสำหรับคนส่วนใหญ่นัก เพราะเพิ่งมีเมื่อไม่นานนี้เอง เป็นมาตรการร่วมมือกันระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนที่เป็นพ่อค้าแม่ขายโดยเฉพาะ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในกฎหมายได้สะดวกและง่ายดายขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาก่อหนี้นอกระบบ ที่เข้าใจกันดีว่าเวลาทวงหนี้นั้นมหาโหดกันเช่นไร โดยการกู้ประเภทนี้ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่มีแหล่งรายได้ชัดเจน รวมถึงใครที่ติดเครดิตบูโรก็สามารถกู้กับธุรกิจประเภทนี้ได้ โดยกำหนดวงเงินกู้ไว้ไม่เกิน 1 แสนบาทในแต่ละราย แต่บริษัทที่ประกอบธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ได้นั้นต้องได้รับการอนุมัติจากธนาคาร แห่งประเทศไทยก่อนทำธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 5 ราย สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้นใกล้เคียงกับประเภทที่ 1 โดยอาจจะสูงกว่าเล็กน้อยแล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละธุรกิจนั้นๆ
            ลิสต์รายชื่อของบริษัทธุรกิจนาโนไฟแนนซ์
        
แต่ ทั้งนี้ขอให้แน่ใจว่าท่านจำเป็นต้องใช้เงินที่กำลังจะขอกู้จริงๆ นำไปเพื่อเสริมสภาพคล่อง นำไปเพื่อประกอบอาชีพ หรือประกอบธุรกิจ มิได้นำไปเพื่อใช้จ่ายอุปโภคหรือบริโภคส่วนตัว เพราะนั่นเท่ากับว่ายิ่งทำให้ภาระหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก เพราะหากว่ายิ่งเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น ก็อาจทำให้เกิดปัญหาการใช้เงินเกินตัว ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตหากว่าไม่มีเงินมาชำระภาระหนี้ที่สร้างขึ้น ไว้ในแต่ละเดือน ยิ่งยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ การรู้จักใช้ รู้จักประหยัด รู้จักอดออม รวมถึงการดำเนินชีวิตโดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Portfolio: ภาพประกอบคำ

อย่างที่ทราบกันแล้วว่าช่วงนี้รับเป็นแอดมินดูแลเพจสตูดิโอถ่ายภาพแห่งหนึ่ง ซึ่งโดยวางโครงงานไว้ว่าหนึ่งวันจะโพสต์ภาพประกอบคำ และบทความที่เกี่ยวกับแม่และเด็ก ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านการพัฒนาทักษะ ประโยชน์ทางโภชนาการของคุณน้องๆหนูๆก็ตาม

ซึ่งตอนแรกที่มีคนติดต่อว่าจ้างมาพอรู้ว่าต้องทำเรื่องเกี่ยวกับเด็ก มีอึ้งเล็กน้อย เพราะส่วนตัวไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตคลุกคลีกับเด็กสักเท่าไหร่นัก แต่พอมาค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมก็พอจะเข้าในคอนเซปท์ของแม่และเด็ก ซึ่งก็พยายามทำออกมาให้ดีตามหน้าที่ที่ได้รับว่าจ้างไว้

ในเรื่องของการเขียนบทความยอมรับว่าเป็นการทำตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ ไม่ค่อยอินสักเท่าไหร่ ก็เขียนแนวให้ความรู้เหมือนลักษณะงานเขียนบทความทั่วไปที่รับทำอยู่ แต่ส่วนที่สนุกคือการทำภาพประกอบ เพราะเข้าทาง ได้ใช้ทักษะทางด้านแต่งภาพ หาคำ แต่งตัวอักษร ตามจินตนาการของเราอย่างเต็มที่

จะว่าไปศาสตร์ในด้านการถ่ายภาพ ที่เค้าว่าเป็นทฤษฎีการวาดภาพด้วยแสง แต่ศาสตร์ในด้านการตกแต่งภาพ ต้องใช้จินตนาการล้วนๆ ขึ้นอยู่กับภาพนั้นๆจะส่งอารมณ์และความรู้สึกให้ออกมาเป็นเช่นไร หาคำพูดประกอบให้เข้ากับเรื่องราวในภาพ รวมไปถึงการเลือกรูปแบบดีไซน์ของตัวอักษร และกราฟฟิคประกอบภาพบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อเพิ่มจุดสนใจในภาพให้โดดเด่นมากขึ้น ซึ่งชอบมากเป็นการส่วนตัว

ภาพพื้นหลังเหล่านี้เป็นภาพจากเวบช่างภาพใจดีแจกฟรีให้เอาไปใช้ได้โดยไม่ติดลิขสิทธิ์ หรือที่เรียกว่า Free License แล้วนำมาแต่งภาพเพิ่มเติม พร้อมหาคำพูด เลือกใช้รูปแบบดีไซน์ของตัวอักษรและกราฟฟิคเพิ่มเติม โดยต้องเสาะแสวงหาโปรแกรมที่ใช่สำหรับสไตล์เรา

เพราะแต่ละโปรแกรมก็มีจุดดีจุดเด่นกันไปตามแต่ละแบบ ซึ่งบางภาพอาจใช้ถึง 2 - 3 โปรแกรมเพื่อให้ตรงใจตามที่ตั้งใจไว้ บางคนอาจมีสไตล์ส่วนตัว แต่โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนมีความหลากหลายทางอารมณ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเป็นข้อดีในการแต่งภาพให้ออกมามีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น

ภาพเหล่านี้เป็นภาพโพสต์รายวัน ที่โพสต์แล้วก็ผ่านไป เลยขอรวบรวมนำภาพเหล่านั้นมาไว้ ณ ที่ตรงนี้ เพราะกว่าจะได้แต่ละภาพใช้เวลาทำพอสมควร เรียกว่าสมมติค่าจ้างต่อภาพ 100 บาท ทำให้ 500 บาทเลย เพราะอย่างที่บอกไปว่าทำแล้วสนุก ยิ่งทำยิ่งมันส์ในอารมณ์ (ผู้ว่าจ้างชอบหรือไม่ไม่รู้ รู้แต่ว่าคนทำชอบ...ฮา)
 
หากใครชื่นชอบภาพข้างล่างนี้สามารถนำไปโพสต์ต่อกันได้ และจะขอบคุณมากหากเขียนเครดิตลิงค์ที่มาของพื้นที่ตรงนี้กันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ^^










________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เทคนิคในการถ่ายเด็กแรกเกิดแบบล้ำๆไม่ซ้ำใคร



มาต่อกันเลยกับเทคนิคในการถ่ายภาพที่เขียนถึงเรื่องนี้มาสองวันแล้ว หากใครยังไม่ได้อ่าน สามารถกลับไปอ่านย้อนหลังกันได้นะคะ ส่วนวันนี้ขอนำเสนอไอเดียแบบเริ่ดๆ ทั้งสองแบบกับภาพเด็กแรกเกิด ไปดูกันค่ะว่ามีเทคนิคอย่างไรกันบ้าง

  • สำหรับใครที่กำลังเป็นคุณแม่ท้องโต หรือมีกำหนดใกล้คลอดในไม่กี่เดือนนี้ คุณแม่สามารถบันทึกภาพช่วงขณะที่ท้องกำลังโต โดยภาพถ่ายอาจเป็นภาพขณะกำลังนอนโดยถ่ายเน้นเฉพาะช่วงท้องเหมือนในภาพตัวอย่าง หรือจะเป็นในอิริยาบถอื่นๆ แทน เพื่อนำมาประกอบกับภาพหลังคลอด อาจจะเป็นช่วงที่ลดน้ำหนักจนได้ที่สักระยะ เพื่อความมั่นใจในการถ่ายภาพ โดยที่คุณแม่อุ้มลูกน้อยมาถ่ายภาพด้วย และควรเป็นภาพในมุมมองลักษณะเดียวกันกับภาพก่อนคลอด เพื่อเป็นการเล่าเรื่องด้วยภาพแบบ Before & After กับการเป็นคุณแม่ก่อนคลอดและหลังคลอดแล้ว จนมีเจ้าตัวน้อยลืมตาออกมาดูโลกกว้างใบนี้ และหากว่ามีตัวอักษรที่เป็นของเล่น หรือไวท์บอร์ดมาเขียนชื่อลูกน้อย เพื่อเป็นพร็อพประกอบฉากและยังเป็นการเพิ่มเรื่องราวเขียนชื่อลูกน้อยของคุณลงไปในรูปให้มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นได้อีกด้วยค่ะ 

        Credit : flashedbystarla.com


  • ส่วนอีกภาพเป็นไอเดียในการถ่ายภาพเด็กแรกเกิดที่สุดแสนจะครีเอทมากๆ พร้อมบอกรายละเอียดของคุณลูกได้ด้วยภาพเพียงใบเดียวในแบบเกร๋ๆ แถมยังสามารถพิมพ์ภาพแจกเป็นที่ระลึกสำหรับเพื่อนๆญาติๆที่มาเยี่ยมกันได้ อีกด้วยนะคะ โดยสามารถหาสิ่งของใกล้ตัวที่บ้านคุณนำมาประกอบการเล่าเรื่องในภาพถ่าย ไม่ว่าจะเป็น ชื่อเจ้าตัวน้อย เพศ วันเดือนปีเกิด น้ำหนัก ส่วนสูง และยังสามารถครีเอทสไตล์ตามความชื่นชอบของคุณพ่อคุณแม่ลงไปได้อีกด้วย ไม่ว่าจะสายฮิปสเตอร์ สายหวานเจี๊ยบ สายหวานซ่อนเปรี้ยว หรือสายหล่อล้ำทันสมัย ก็จัดไปตามใจชอบ

        Credit: alphabetmonkey.com.au


หวังว่าเทคนิคเล็กๆน้อยๆที่ได้รวบรวมนำมาฝากกันตรงนี้ จะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ลองไปทำตามกันดูนะคะ และขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับว่าที่คุณพ่อคุณแม่ด้วยคร่าาา ^^

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

5 เทคนิคในการถ่ายรูปครอบครัวแบบกิ๊บเก๋



หลังจากเมื่อวานแนะนำเทคนิคในการถ่ายภาพเด็กกันแล้ว วันนี้ขอนำเสนอไอเดียในการถ่ายรูปครอบครัว ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน หรือมีทริปไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ก็สามารถนำไอเดียต่างๆเหล่านี้ไปใช้กันได้ค่ะ

  1. ถ่ายรูปมือประสานทั้งครอบครัว  

    ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ และลูกน้อย โดยโฟกัสเฉพาะมือ โพกัสเฉพาะหน้า หรือจะกอดซ้อนกัน โดยซ้อนต่อกันเป็นชั้นๆ เพื่อสื่อถึงสายใยความรักความผูกพันระหว่างครอบครัว 
  2. นำภาพในแต่ละช่วงอายุมารวมเป็นภาพเดียว 

    ผ่านกรอบรูปในแต่ละเฟรม เพื่อบอกเล่าถึงความเป็นตัวตนของคนคนนั้นในแบบที่กิ๊บเก๋มาก
  3. ถ่ายภาพเงาสะท้อนครอบครัว 

    โดยอาจมีอุปกรณ์เสริม เช่น รองเท้า แว่นตา หรือ หมวก เพื่อบ่งบอกตัวตนของแต่ละคนผ่านเงาสะท้อนในน้ำ หรือเงาของแสงแดด ณ ริมชายหาด
  4. ถ่ายเฉพาะส่วนแล้วนำมาต่อกันในภาพเดียวกัน 

    เช่น ถ่ายช่วงหน้า ถ่ายช่วงมือ ถ่ายช่วงเท้า นำมาประกอบผ่านในแต่ละเฟรม ก็จะได้ภาพบุคคลเต็มส่วนในแบบเกร๋ๆ
  5. เล่นกับพร็อพประกอบฉาก 

    อาจเป็นไวท์บอร์ดสักอัน แล้วเขียนคำบรรยายประกอบสถานที่ หรือคำบรรยายบ่งบอกความรู้สึก เพื่อเก็บภาพความทรงจำดีๆ ของครอบครัว

เพียงเท่านี้คุณก็จะมีภาพครอบครัวที่น่ารัก น่าประทับใจ โดดเด่น มีสไตล์ ในแบบที่ไม่เหมือนใคร และนำมาอวดเพื่อนๆในโซเชียลเน็ตเวิร์คกันได้อีกด้วยค่ะ

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

6 เทคนิคในการถ่ายภาพเด็กแบบมีสไตล์


พอดีว่าช่วงนี้รับเป็นแอดมินแฟนเพจของสตูดิโอถ่ายภาพเด็กอยู่ที่หนึ่ง เลยมีโอกาสได้ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคในการถ่ายภาพเด็ก และถ่ายภาพครอบครัว วันนี้เลยอยากจะนำเสนอทริคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากลองเป็นตากล้องมือใหม่ อยากเก็บภาพความประทับใจกับทุกช่วงเวลาดีๆของคุณหนูๆมาฝากกันค่ะ

  1. ถ่ายภาพในแบบธรรมชาติ 

    ปล่อยให้เด็กได้เป็นไปตามธรรมชาติของเค้า เพราะความเป็นธรรมชาติของเด็กนี่ล่ะค่ะ ที่เป็นเสน่ห์ ปล่อยให้เค้าเล่นไป แล้วรอเก็บภาพให้ช่วงจังหวะเวลาดีๆ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเก็บภาพประทับใจของเค้าได้โดยง่าย

  2. ถ่ายภาพด้วยมุมมองในระดับเสมอพื้น

    ลองปล่อยให้เด็กได้เล่นกับพื้น เช่นพื้นหญ้าในสนามบ้าน หรือพื้นห้องนอน แล้วถ่ายภาพเค้าจากมุมต่ำ คุณจะแปลกใจกับผลลัพธ์ที่ได้ภาพ
  3. ถ่ายภาพจากในห้องนอน 

    อาจเป็นช่วงเข้านอน หรือหลังตื่นนอน ลองเอาผ้าห่มสีสันสดใสมาคลุมเด็กให้เหลือเฉพาะหน้าและตัวช่วงบน ลองหามุมสวยๆระหว่างที่เค้าเล่นกับผ้าห่ม เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ภาพในมุมที่น่าสนใจมากขึ้น
  4. ถ่ายภาพในระหว่างเล่น

    ลองถ่ายภาพเด็กในระหว่างที่เค้ากำลังเล่นกับของเล่นชิ้นโปรด หรือกำลังกอดตุ๊กตาตัวโปรด เพื่อคุณได้เก็บภาพเค้าในอิริยาบถที่ผ่อนคลายและดูเป็นธรรมชาติ
  5. ถ่ายภาพในระหว่างทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

    ลองถ่ายภาพเด็กในช่วงที่เค้าทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่บ้าน เช่น ตอนทำการบ้าน ตอนระบายสีภาพวาด ตอนฝึกหัดวาดเขียน อาจเรียกให้เค้าหันหน้ามามองกล้องบ้างเป็นบางครั้ง เพียงเท่านี้ก็ทำให้คุณได้เก็บภาพสวยๆ ในช่วงจังหวะเวลาดีๆ
  6. ร้อยเรียงเรื่องราวด้วยสมุดภาพ Scrapbook

    หากว่าพยายามถ่ายภาพลูกเท่าไหร่ แต่ไม่เคยจับภาพจังหวะลูกได้ทัน ทำให้ภาพที่ได้อาจมีแค่ช่วงหน้า ช่วงตัว ช่วงแขน หรือ ช่วงขา อย่าเพิ่งลบรูปเหล่านั้นทิ้งไป เพราะว่าคุณสามารถนำภาพเหล่านั้นมาปะติดปะต่อร้อยเรียงเรื่องราวได้ใหม่ ในสไตล์ Scrapbook หรือสมุดภาพ ที่สามารถทำในคอมพิวเตอร์ มือถือ หรือ แม้กระทั่งสมุดภาพที่ทำด้วยกระดาษ นอกจากนี้ยังสามารถชวนคุณน้องๆหนูๆมาช่วยตัดแปะในสมุดภาพ เพื่อฝึกทักษะด้านศิลปะ ต่อยอดจินตนาการ แถมยังเป็นกิจกรรมสานสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว และช่วยหันเหความสนใจจากหน้าจอมือถือสมาร์ทโฟนได้อีกทางหนึ่งด้วยค่ะ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์และให้คุณพ่อคุณแม่ได้มีภาพประทับใจ ลองนำไปใช้กันดู ในทริปครั้งหน้า ไม่ว่าจะเป็นทริปต่างจังหวัด ทริปต่างประเทศ ที่แม้แต่อยู่ที่บ้านกันนะคะ

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วิธีโพสต์ภาพลง Facebook แบบเกร๋ๆ



วันอาทิตย์เช่นนี้ขอนำเสนอเรื่องเบาๆ กับไอเดียกิ๊บเก๋ ในการโพตส์ภาพลงเฟซบุ๊กส่วนตัวที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในเพจของตากล้องด้วยกันในตอนนี้กันค่ะ

  • อันดับแรกใช้โปรแกรมตกแต่งภาพในคอมพิวเตอร์ เช่น PhotoScape หรือแอพในมือถือก็ได้ เช่น PicsArt มากำหนดสัดส่วนของภาพให้เป็นอัตราส่วน 1 : 1 เหมือนภาพที่แสดงใน Instagram โดยในที่นี้กำหนดไซส์ ให้มีขนาด 996 x 996 พิกเซล เพื่อความเข้าใจง่ายนะคะ

  • ตัดแบ่งภาพที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นสองภาพด้ายซ้ายมือ โดยกำหนดไซส์ให้มีขนาด 498 x 498 พิกเซล (อัตราส่วน 1:1)

  • ตัดแบ่งภาพที่ 3, 4, และ 5 ซึ่งเป็นสามภาพด้านขวามือ โดยกำหนดไซส์ให้มีขนาด 498 x 332 พิกเซล (อัตราส่วน 2:3)
  
  • อันดับสุดท้าย อัพโหลดรูปลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวของท่าน โดยอัพโหลดภาพตามลำดับที่ได้เรียงเอาไว้ในภาพ

เพียงเท่านี้ ภาพที่ปรากฎหลังอัพโหลดภาพทั้ง 5 ภาพลงไปแล้ว ก็จะได้ภาพออกมาเหมือนกับภาพต้นฉบับเดิมก่อนตัดแบ่ง หรือใครที่เข้าใจคอนเซปท์ของการตัดแบ่งภาพ สามารถกำหนดขนาดพิกเซลเองได้เลยตามอัตราส่วนและขนาดที่เหมาะสม



ขอบคุณเจ้าของไอเดีย: #By_Jack_Veerasak_facebook_jacknawa


หรือหากใครที่ไม่ชำนาญในการเรื่องการตัดแบ่งภาพ แต่อยากลองเล่นกับเค้าดูบ้าง 
เรามีตัวช่วยตัดต่อภาพให้อัตโนมัติกับเวบนี้ค่ะ


ทำภาพใหญ่เป็นภาพชิ้นส่วนต่อกันเก๋ๆ บน Facebook

เพียงเท่านี้คุณก็มีจะรูปภาพไปโพสต์อวดเพื่อนใน Facebook แบบเกร๋ๆ ลองไปเล่นกันดูนะคะ ^^ 


________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Facebook Live สายดาร์ค



ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักกับ Facebook Live  หรือการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook กันแล้ว จริงๆ แล้วฟีเจอร์นี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำการตลาดในยุคดิจิตอล หรือที่เรียกว่า digital marketing online เพราะทางเจ้าของบรรดาผู้ผลิต หรือเจ้าของแบรนด์ต่างๆ สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ ผู้บริโภคสามารถเข้ามาคอมเมนท์กับเรื่องนั้นๆ ได้ทันท่วงที และเป็นยังเป็นการเช็คเรทติ้งให้กับทางเจ้าของแบรนด์ได้ทราบว่า กระแสได้รับความนิยมมากน้อยแค่ไหน ในขณะที่กำลังถ่ายทอดสดอีกด้วย ซึ่งมั่นใจว่าในอนาคตหลายแบรนด์คงต้องหันมาใช้ฟีเจอร์นี้กันแทบทั้งนั้น

สิ่งที่เหมาะกับการทำการตลาดผ่าน Facebook Live นั้นมีด้วยกันอยู่หลายประการ อาทิเช่น ถ่ายทอดสดงานอีเวนท์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือจะเป็นการสัมภาษณ์พิเศษคนดัง  ส่วนหากเป็น ดารา หรือ เซเลบริตี้แถวหน้าของเมืองไทย ก็เป็นการถ่ายทอดสดตัวเองระหว่างออกงานอีเวนท์นั้น ๆ เล่าความรู้สึก ความประทับใจในงาน พาชมเบื้องหลังงาน อาจสัมภาษณ์เพื่อนร่วมวงการด้วยกันเอง

หรือจะถ่ายทอดชีวิตประจำวันแบบชิลชิล ว่าวันนี้ไปทำอะไรที่ไหน หรือแสดงทัศนคติต่อกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน รับรองเรียกเรทติ้งได้กระฉูด ส่วนหากเป็นแนวสอน ไม่ว่าจะเป็นการสอนภาษา สอนการถ่ายรูป สอนการแต่งหน้า สอนการทำอาหาร สอนการใช้โปรแกรม สอนเทคนิคการตกแต่งภาพ เหมาะอย่างยิ่งกับการสอนกันแบบสดๆ เข้าใจว่าตรงนี้พี่มาร์คคงต้องการดึงส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่งหลักในเรื่องนี้ เพราะความนิยมอันโด่งดังของ YouTube ในเรื่องของ How to นั่นเอง

ทั้งนี้ทั้งนั้นนอกจากมีด้านดีที่สร้างสรรค์สำหรับวงการโฆษณา บันเทิง โปรโมทสินค้าและบริการของแบรนด์ตัวเองกันแล้ว Facebook Live ยังมีด้านร้ายด้วยเช่นกัน หากว่าฟีเจอร์นี้ไปอยู่ในมือของคนไม่ดี คนที่อยู่ในสายดาร์ค ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คงต้องเป็นเรื่องของใครบางคนที่พยายามทำตัวเองให้กลายเป็นคนสำคัญขึ้นมาในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค ด้วยการถ่ายทอดสดกับการพยายามฆ่าตัวเอง

แล้วยังจะเป็นแหล่งรวมของเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ต่างๆ เช่น ฉายภาพยนตร์ดังชนโรง ซึ่งยังไม่นับรวมถึงการโชว์สดในเรื่องของสิ่งไม่ดีและผิดกฎหมาย ในเรื่องสิ่งเสพติด เรื่องเพศ และเรื่องความรุนแรง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างเป็นปัญหาในสังคมไทยบ้านเรา โดยเฉพาะวัยรุ่นที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ และนับวันจะยิ่งก่อปัญหาที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าการเสพสื่อเหล่านี้มีแรงกระตุ้นอย่างดี

ซึ่งหากว่าใครๆ ก็สามารถใช้เครื่องมือ Facebook Live เพื่อให้ตัวเองเป็นคนดังในทางที่ผิด ทำอะไร ยังไงก็ได้ โดยไม่แคร์ว่าจะถูกหรือผิด ขอเพียงให้เรียกเรทติ้งได้สูง ให้คนเข้ามาชมกันเยอะๆ ได้เป็นคนดังในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คเพียงแค่ชั่วข้ามคืน ไม่อยากจะมองโลกในแง่ร้ายมากนัก แต่ภาพยนตร์หลายๆ เรื่องก็นำเสนอประเด็นนี้ให้เราให้เห็นกันอยู่หลายครั้ง อย่างเช่นในเรื่อง 13 เกมสยอง, The Condemned หรือ Battle Royale

เรื่องนี้เป็นเรื่องดาบสองคมที่พ่อแม่ และผู้ปกครองควรต้องคำนึงและพิจารณา ไม่ควรปล่อยให้เด็กๆ เล่นอินเตอร์เน็ตคนเดียว เพราะเราไม่มีทางรู้ตัวล่วงหน้าได้ว่า สื่อสายดาร์คเหล่านี้จะมาโบกมือทักทายชวนลูกเราไปเล่นด้วยเมื่อไหร่ ทางที่ดีควรกลั่นกรองการเล่นของลูก หรือควรอยู่ใกล้ชิดกับเค้าขณะเล่นไปด้วย เพื่อจะได้เข้าใจถึงโลกที่เค้าสนใจ คุยกับเค้าได้ทุกเรื่อง และยังคอยสอดส่องดูแลเค้าได้อีกด้วย ไม่ใช่อยากเล่นอะไรก็ปล่อยให้เล่นไป โดยไม่รู้เลยว่าเวบไซต์ที่ลูกคุณดูอยู่นั่น มีสายดาร์ครวมอยู่ด้วยมากน้อยเพียงใดค่ะ


________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ว่าด้วยเรื่องของคนรักหนัง


Credit: ภาพจากเพจ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"

สำหรับใครที่เป็นคนรักตัวจริงเสียงจริง ย่อมรู้จักโรงภาพยนตร์สกาล่า รวมถึงโรงภาพยนตร์ลิโด้ในเครือเอเพ็กซ์กันเป็นอย่างดี ว่าเป็นโรงภาพยนตร์ที่นิยมสำหรับคอหนังโดยเฉพาะ กล้าที่จะนำเอาภาพยนตร์ที่อาจไม่ได้อยู่ในกระแสฮอลลีวู้ด แต่เป็นภาพยนตร์อินดี้ชั้นดี ทั้งเนื้อเรื่อง เนื้อหา การถ่ายภาพ การตัดต่อ การร้อยเรียงภาพ การเล่าเรื่องด้วยภาพ ดนตรีประกอบ รวมไปถึงส่วนของนักแสดงเองก็ตาม ที่เข้าถึงบทบาทนั้นๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกันกับภาพยนตร์

โดยส่วนตัวแล้วชอบไปชมภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์สกาล่าด้วยปัจจัยหลักๆ ดังต่อไปนี้

1. ภาพยนตร์ที่ฉาย

หากเป็นคอหนังธรรมดาคุณอาจสามารถเลือกไปชมภาพยนตร์ที่ไหนก็ได้ เพราะมีตัวเลือกให้เลือกอยู่มากมายหลายที่ แต่หากเป็นคอหนังอินดี้ชั้นดีแล้ว ตัวเลือกคุณมีไม่มากนักหรอกในประเทศไทย และโรงภาพยนตร์สกาล่าก็เสมือนเป็นตัวช่วยชั้นดีให้กับเราได้มีโอกาสชม ภาพยนตร์ ดีๆ เช่นนี้ได้ในโรงภาพยนตร์จอใหญ่ในบ้านเรา

2. พี่เอ๋ Hot Line สายด่วนตัวช่วยคนรักหนัง

หากใครเป็นแฟนคลับของที่นี่ คงทราบถึงเสน่ห์อีกอย่างคือ พี่เอ๋ พี่เอ๋เป็นคนที่คอยรับโทรศัพท์คนที่ไปเช็ครอบหนัง เช็คหนังที่กำลังลงโรง ซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแค่โอเปอเรเตอร์เหมือน Call Center ปกติทั่วไป พี่เอ๋ทำหน้าที่ได้ดีกว่านั้นมากมาย พี่เอ๋ทำหน้าที่เสมือนเป็นกูรูหนังที่คอยช่วยไกด์ไลน์ให้กับเรา อาทิตย์นี้มีหนังเรื่องใดฉายบ้าง บางทีนึกไม่ออกว่าจะดูเรื่องไหนดี พี่เอ๋ก็จะเล่าให้ฟังว่าหนังเรื่องนี้อารมณ์ประมาณไหน เราชอบดูหนังแนวไหน เรื่องไหนที่จะตอบโจทย์ตามสไตล์ของเราที่ชื่นชอบ พร้อมด้วยลูกเล่น ลีลา การหยอดมุข เล่นกับคนที่โทรศัพท์ไปหาพี่เอ๋ จนพี่เอ๋กลายเป็นบุคคลในตำนานของบรรดาคนรักหนังที่ชอบไปดูหนังที่นี่กันแทบ ทุกคน ยังเคยซื้อขนมไปฝากพี่เอ๋อยู่บ่อยครั้งกับความน่ารักของพี่แก ซึ่งเสน่ห์และความผูกพันเช่นนี้ คุณไม่สามารถหาได้จากโรงภาพยนตร์ของค่ายใหญ่อย่างแน่นอน

3. อารมณ์และบรรยากาศระหว่างชม

คาดว่าหลายคนคงเคยเจอกับสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ระหว่างการชมภาพยนตร์เวลา คุณไปชมในโรงภาพยนตร์ของค่ายใหญ่ที่อยู่ตามห้างสรรพสินค้า อาทิเช่น คุยโทรศัพท์ คุยกับเพื่อน จีบกับแฟน แชทตลอดหนังฉายทำให้หน้าจอมือถือที่สว่างแสงเข้าตาเรา เด็กร้องไห้ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้คุณจะไม่มีทางได้พบเจอกับที่นี่ เนื่องจากแฟนคลับขาประจำของที่นี่เป็นคนรักหนัง ดังนั้นสิ่งที่เค้าเหล่านี้ต้องการ คือการเสพหนังให้ได้อรรถรสอย่างเต็มอิ่ม เข้าไปเพื่อดูหนัง แบบตั้งใจดูทุกวินาที เพื่อที่จะไม่พลาดช็อตสำคัญใดๆ ระหว่างทาง ที่อาจเป็นปมสำคัญในตอนท้ายเรื่อง หรือดื่มด่ำไปกับทุกห้วงอารมณ์ของนักแสดงและเรื่องราวในภาพยนตร์ มันช่างเป็นอะไรที่วิเศษมาก กับการได้ชมภาพยนตร์แบบเต็มอิ่ม โดยไม่มีเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์มารบกวนอรรถรสเลยแม้แต่น้อย

4. เข้าไปดูหนังคนเดียวได้โดยไม่รู้สึกเป็นเอเลี่ยน

โดยส่วนตัวแล้วชอบเลือกที่จะไปดูหนังคนเดียว เพราะอย่างที่บอกไปว่าเป็นคนรักหนัง ดังนั้นการเข้าไปโรงภาพยนตร์ คือการไปชมภาพยนตร์แบบเนื้อๆ เน้นๆ ไม่ได้เข้าไปเพราะเพื่อนชวนไม่มีอะไรทำ หรือไปเพื่อฆ่าเวลา เหมือนเช่นโรงภาพยนตร์ของค่ายใหญ่ที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า ที่มากันเป็นหมู่คณะ มาเป็นคู่ๆ คู่ชายกับชาย คู่หญิงกับหญิง หรือคู่รักก็ตามที ทำให้หลายคนที่ไปซื้อตั๋วคนเดียวแล้วแอบเขิน รู้สึกเป็นเอเลี่ยน กลายเป็นมนุษย์ประหลาดไป แต่สำหรับที่นี่การไปซื้อตั๋วคนเดียว และการเข้าไปดูหนังคนเดียว เป็นเรื่องที่ปกติมากถึงมากที่สุด เพราะคนส่วนใหญ่ก็เลือกทำเช่นนั้น เลยทำให้คนที่มาดูมากกว่าหนึ่งคน กลายเป็นคนส่วนน้อยไปโดยปริยาย (ฮา)


5. เสน่ห์ของบรรยากาศในโรงหนังและคนทำงานในยุคอนาล็อก 

ใครที่เคยไปซื้อบัตรในโรงภาพยนตร์สกาล่าครั้งแรก อาจตกใจว่า โอ้ววว สมัยนี้ยังมีระบบการสำรองบัตรแบบใช้มือขีดลงไปบนแผ่นกระดาษอีกหรือ เป็นอะไรที่คลาสสิคสุดๆ รวมไปถึงสถาปัตยกรรม การออกแบบ และบรรยากาศของโรงภาพยนต์ ที่ควรค่าอย่างยิ่งต่อการเก็บอนุรักษ์ไว้ เพื่อเอาไว้ใช้เป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่างๆ ทางแผ่นฟิล์ม ทางศิลปะ ทางวัฒนธรรม เพราะเราจะหาสถานที่แบบนี้ที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในบ้านเรา


หากว่าท่านใดที่มีความรัก ความผูกพัน หรือมีอารมณ์ร่วมกับสถานที่แห่งนี้ รวมไปถึงท่านที่สนใจเข้าร่วม "แคมเปญรณรงค์เพื่อเก็บโรงภาพยนตร์สกาล่าให้เป็น มรดกทางสถาปัตยกรรม และแหล่งอ้างอิงของแผ่นดิน" เชิญกดลิงค์ที่ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ ร่วมด้วยช่วยกันนะคะ ขอบคุณค่ะ


เข้าร่วมรณรงค์เก็บโรงภาพยนต์สกาล่าเป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมและแหล่งอ้างอิงของแผ่นดิน