วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

World So Cruel

 
 
 
ช่วงนี้รับทราบข่าวผู้ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในแถบประเทศยุโรปไม่เว้นแต่ละวันแล้ว ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Unthinkable นานมากแล้ว เป็นหนังที่ Samual L. Jackson รับเล่นเป็นมืออาชีพรับจ้างของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐในการสอบสวนผู้ก่อการร้าย ด้วยวิธีการที่ไร้มนุษยธรรม คือทำอย่างไรก็ได้ ให้เค้นความจริงออกมาให้จงได้ โดยมี Carrie-Ann Moss เล่นเป็น FBI ที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่่ต้องคอยออกโรงปกป้องผู้ก่อการร้ายเสียเอง เพราะไม่สามารถทนดูการทรมานต่อไปได้

ซึ่งหากดูไปประมาณเกือบครึ่งเรื่อง จะเริ่มรู้สึกได้ถึงความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน ไร้ความปราณี ไร้ความเมตตา ไร้จิตใจของ Samual L. Jackson ที่ช่างสรรหาวิธีการทรมานต่อผู้ก่อการร้าย ที่เล่นได้โรคจิตแบบอินเนอร์จัดเต็ม Michel Sheen เล่นด้วยแววตาได้ดีเสียเหลือเกิน จนเราเองเริ่มเทใจ ด้วยความใจอ่อน และสงสารผู้ก่อการร้ายที่่โดนทรมานอย่างแสนสาหัส

แต่ตอนจบของหนังกลับทำให้เราต้องอึ้งและฉุกคิดว่า อะไรคือถูก และอะไรคือผิด เพราะตอนจบของเรื่อง (ใครที่คิดจะหาดูกรุณาข้ามข้อความข้างล่างนี้ไป)
.
.
.
.
.
กลายเป็นว่าการที่เจ้าหน้าที่แสนดีและมีมนุษยธรรมอย่าง Carrie-Ann Moss รวมถึงผู้ชมที่ดูมาครึ่งเรื่อง ที่ร่วมต่างเทใจเกลียด Samual L. Jackson อย่างไม่ต้องสงสัย และร่วมต่างเทใจสงสารให้กับผู้ก่อการร้ายอย่าง Michel Sheen ที่แลดูช่างแสนบอบบาง และถูกกระทำต่างๆนานา

แต่สุดท้ายแล้วผู้ก่อการร้ายเช่นนี้ล่ะ ที่วางระเบิดไว้ที่ตึกในเมืองใหญ่ของสหรัฐ โดยยอมตายแต่ไม่ยอมปริปากบอกถึงที่อยู่ของระเบิดลูกที่เหลืออยู่ ทำให้พอหนังตัดจบ ผู้ชมไม่จบ ต้องคิดต่อยอดหลังหนังจบแบบหนักอึ้งในหัวว่า ระหว่างเส้นบางๆ ของคำว่า "ความถูก" และ "ความผิด" เพราะในหลายๆเหตุการณ์ความเหมาะสม และหลักจริยธรรมต่างๆ กลับดูช่างขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงต่อความโหดร้ายป่าเถื่อนด้วยน้ำมือมนุษย์เรากันเองล้วนๆ

#worldpeace
#ขอสันติจงมีแด่โลก
#worldsocruel
#RIPtothevictimthatdied
#aorengjablog

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การเตรียมตัวพร้อมรับกับการเปลี่ยนงานใหม่



หลังจากที่เขียนถึงเกี่ยวกับเรื่อง 5 คำถามยอดนิยมเวลาไปสมัครงานเมื่อวานนี้แล้ว วันนี้เราก็มาต่อกันด้วยเรื่อง การเตรียมตัวพร้อมรับกับการเปลี่ยนงานใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนๆ ที่ทำงานที่ไหนมาเป็นเวลานาน หรือไม่ค่อยได้เปลี่ยนสถานที่ทำงานบ่อยๆ ด้วยแล้ว ยิ่งแนะนำให้อ่านค่ะ

1. พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว

แน่นอนว่าการเปลี่ยนงานใหม่ นั่นย่อมหมายถึงการเปลี่ยนระบบการทำงานใหม่ ทั้งระบบปฏิบัติงานทางด้านเทคโนโลยี รวมไปถึงระบบการปฏิบัติการตามสายงานในองค์กร รวมถึงระบบผู้มีอำนาจตามสายงาน ในภาวะที่การแข่งขันทางธุรกิจรุนแรงขึ้น จึงทำให้คุณมีเวลาเรียนรู้ในเวลาอันรวดเร็ว ที่คุณจะต้องทำตัวให้พร้อมที่จะสามารถปฏิบัติงานให้ได้เหมือนพนักงานคนอื่น

2. พร้อมนำประสบการณ์การทำงานมาประยุกต์ใช้

แน่นอนว่าเมื่อนายจ้างคนใหม่เลือกจ้างคนที่มีประสบการณ์การทำงาน นั่นย่อมหมายถึงว่า เค้าจ้างคุณเพราะประสบการณ์ของคุณ คิดว่าคุณสามารถพร้อมใช้งาน พร้อมใช้ประสบการณ์จากการทำงานในที่ทำงานเดิม มาประยุกต์ใช้กับสถานที่ทำงานใหม่ ให้ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จงเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากสถานที่ทำงานเดิมให้ได้มากที่สุด เพื่อนำมาใช้และก่อให้เกิดประโยชน์ในสถานที่ทำงานใหม่

3. พร้อมรับมือการกับทำงานแบบแมนวล

บางคนที่เคยทำงานกับสถานที่ทำงานที่ระบบการทำงานและระบบปฏิบัติที่ดี มั่นคง อยู่แล้ว ข้อนี้ขอให้เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับมือ การทำงานในแบบแมนวล หรืออธิบายง่ายๆ ได้ว่า ไม่มีระบบรองรับ ทำด้วยมือ หรือมีระบบช่วยบ้างเล็กน้อย แต่ต้องมาทำมือต่อเอง ต้องเอาข้อมูลจากฐานข้อมูลจากที่ต่าง ๆ มารวมกันเพื่อผลิตออกมาเป็นงานชิ้นนึง ข้อนี้อย่าได้แน่นอนใจว่า บริษัทหรือธนาคารที่กำลังจะไปทำนั้น ติดอันดับชั้นนำระดับโลก ต้องมีระบบระเบียบที่ดี มีระบบปฏิบัติการที่ยอดเยี่ยม ด้วยความที่ทุกองค์กรต่างต้องคุมและลดค่าใช้จ่าย ดังนั้นอย่าคิดว่าทุกองค์กรที่เปิดมาหลายสิบปีจะต้องมีระบบที่ดี ใครที่ชอบบ่นว่าระบบตัวเองแย่ ระบบตัวเองไม่ดีไม่ฉลาดเอาเสียเลย ลองไปที่ใหม่ดูอาจจะคิดถึงระบบที่คุณชอบบ่นเช้าบ่นเย็น ว่ามันสุดแสนจะเพอร์เฟกต์ที่สุดแล้ว (ดร่าม่าแปร๊ปปปป)

4. พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของคนในองค์กร

ข้อนี้เป็นเรื่องใหญ่มากถึงมากที่สุด เพราะการเปลี่ยนงาน ย่อมหมายถึงเปลี่ยนคนที่ต้องทำงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน ลูกน้อง ผู้บังคับบัญชา ซึ่งแต่ละคนก็แต่ละสไตล์ ต่างความคิด ต่างจิตใจ ซึ่งหากว่าเจอเพื่อนร่วมงานที่ดี และหัวหน้างานที่คุยภาษาเดียวกัน คุยกันรู้เรื่อง ก็เรียกได้ว่าเจอสวรรค์ แต่หากว่าเจอเพื่อนร่วมงานที่จ้องแต่จะดิสเครดิต เลื่อยเก้าอี้ และเจอหัวหน้างานที่หาเครดิตให้ตัวเองตลอดเวลา แต่ดิสเครดิตลูกน้องตลอดเวลา อันนี้ก็เรียกได้ว่าเจอนรกของจริง

5. พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต

ด้วยความที่เศรษฐกิจยุคนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ความไม่แน่นอน กลายเป็นความแน่นอนไปแล้ว ดังนั้นใช่ว่าคนที่มีงานประจำจะมั่นคงเสมอไป แต่ละบริษัทหรือธนาคาร อาจผุดโครงการลดค่าใช้จ่ายโดยลดพนักงานกันเป็นระยะๆ ดังนั้นสิ่งที่เราจะเอาชนะความไม่แน่นอนเหล่านี้ได้ คือเราต้องหมั่นฝึกฝน เพิ่มพูน ทักษะของตัวเอง ให้มีความพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ให้ตัวเราเป็นพนักงานที่มีประสิทธิภาพขององค์กร เมื่อนั้นเราจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไป กับการเปลี่ยนสถานที่ทำงาน แต่อาจต้องกังวลว่าจะเลือกทำงานกับองค์กรใดที่เหมาะกับตัวเรามากกว่า

หวังว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อน ๆ และใครอีกหลายคนที่กำลังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตการทำงาน เชือว่าทุกคนทำได้ ขอให้ตั้งใจจริง และมั่นใจตัวเองว่าคุณทำได้ แล้วโอกาสได้งานใหม่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน เป็นกำลังใจให้ทุกคน สู้ๆ ค่ะ

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

5 คำถามยอดนิยมเวลาไปสมัครงาน



หลังจากได้หยุดยาวกันถ้วนหน้า ได้ชาร์ตแบตเติมพลังงานชีวิตทั้งทางร่ายกายและจิตใจกันอย่างเต็มที่แล้ว ผู้เขียนก็พอจะมีเวลาว่างมาอัพบล็อกเขียนเรื่องราวที่เป็นสาระประโยชน์ตรงนี้ให้ได้อ่านกัน พอดีว่าช่วงนี้เห็นข่าวเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะดี ทำให้พนักงานโดนลอยแพกันหลายที่

รวมถึงเพื่อนๆ ที่อาจต้องตกงานกันในเร็วๆนี้ แล้วกำลังมองหาที่ทำงานใหม่อยู่ เลยอยากขอนำเสนอ 5 คำถามยอดนิยมเวลาไปสมัครงาน เพื่อเป็นกันแบ่งปันประสบการณ์ และเป็นการเล่าสู่กันฟังให้กับคนที่อาจร้างราวงการนี้มานาน แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ต้องกลับมาสู่สนามนี้กันอีกครา จะได้เตรียมตัวและทำความคุ้นชินกันแต่เนิ่นๆ  มาเริ่มกันเลยค่ะ

1. ความเป็นมาของคุณ

จำไว้ว่าเวลาที่เพื่อนๆ ไปสัมภาษณ์หรือไปสมัครงาน ต้องพยายามทำตัวให้แลดูเป็นมืออาชีพเข้าไว้ มิใช่ไปออกรายการตีสิบ เล่าถึงชีวประวัติความเป็นมาตั้งแต่จำความได้ (เพื่อ?) ไม่ต้องเยิ่นเย้อ ดราม่าก็ไม่เอา ไม่ใช่รายการประกวด The Star (อุ๊บสสส) ควรบอกผู้สัมภาษณ์ไปเฉพาะเรื่อง ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน แบบสรุปย่อที่สุด ท่องคำนี้ไว้ให้ดี "สั้น-กระชับ-ได้ใจความ" หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Sharp and Short!

2. เหตุผลในการอยากเปลี่ยนงาน

อันนี้จำไว้เลยว่าก่อนตอบหรือพอโดนยิงคำถามนี้มา ไตเติ้ลละครในดวงใจต้องขึ้นอินโทรในหัวมาทันที ต้องแอ๊บโลกสวย...ตอบเป็นพระเอก/นางเอกกันนิสนึง หรือจะเป็นทั้งพระเอกและนางเอกพร้อมในคนเดียวกันก็ไม่ผิดแต่อย่างใดค่ะงานนี้ ยิ่งหากตอบได้หล่อและสวยมากเท่าไหร่ จะยิ่งได้คะแนนมากยิ่งขึ้นกับตัวผู้สัมภาษณ์ ดังนั้นเวลาดูหนังดูละคร ก็อย่าลืมจำบทพูดที่พระเอกนางเอกชอบพูดกัน ไว้เป็นประโยชน์กับตัวเองกันด้วย ช่วยได้แน่นอน จัดไปค่ะ

3. เหตุผลที่เลือกมาสมัครงานกับเรา

อันนี้ขอแนะนำเลยว่า ก่อนจะไปสมัครงานทีบริษัทไหน ควรค้นคว้าหาข้อมูลในกูเกิ้ลก่อนไปสัมภาษณ์กันสักนิด เพื่อให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกว่าเรามีความตั้งใจในการไปสมัครงานกับบริษัทนั้น ๆ มีการทำการบ้าน มีการเตรียมตัวไปก่อน เล่าถึงประวัติความเป็นมาของบริษัทหรือธนาคาร ว่าตั้งขึ้นเมื่อใด บริษัทหรือธนาคารมีไปร่วมทุนกับที่อื่นหรือไม่อย่างไร แล้วอันดับของบริษัทหรือธนาคารนั้นๆจัดเป็นอันดับที่เท่าไหร่ในปัจจุบัน หากเล่าได้ดังที่กล่าวมา รับรองว่าเรตติ้งพุ่งปรี๊ดดดอย่างแน่นอน มิใช่ว่าไปเพราะโดนโทรศัพท์มาเรียกตัวไปสัมภาษณ์จาก Head Hunter โดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลย  รับรองได้ว่าเรตติ้งตก หรือคะแนนสัมภาษณ์ต่ำอย่างแน่นอนสำหรับข้อนี้ค่ะ

4. จุดดีจุดด้อย

อันนี้คงต้องใช้จินตนาการผสมประสบการณ์ส่วนตัวกันสักนิด โดยอาจลิสต์มาดูว่าเรามีจุดด้อยอย่างไรกันบ้างสักห้าข้อ แล้วเลือกข้อที่ดูน้ำหนักไม่แรงจนเกินไปนัก ไม่ก่อให้เกิดอคติกับผู้ฟัง หรือผู้สัมภาษณ์ โดยอาจวัดน้ำหนักจากลิสต์ที่ได้เขียนเอาไว้ที่ดูน้ำหนักจัดว่าหนักและเบาน้อยที่สุด แล้วเลือกหยิบยกสักสองข้อมาพูดพอ ส่วนข้อดีคงไม่ต้องให้บอกกันนะคะ จัดไปค่ะ แต่เลือกเอาข้อที่เด็ดสุด สักสองสามข้อก็พอ ไม่ต้องเยอะค่ะ ท่องไว้ว่า Sharp and Short!

5. สามารถทำงานกลับค่ำหรือเข้ามาในวันเสาร์อาทิตย์ได้หรือไม่

เป็นที่เข้าใจกันดีว่า ชีวิตการทำงานในสมัยนี้หนักและเหนื่อยกันแค่ไหน การทำงานกลับค่ำ หรือต้องเข้ามาเคลียรงานช่วงเสาร์อาทิตย์ ถือเป็นเรื่องปกติในซีซันเร่งด่วนหรือบ่อยครั้ง (ดร่าม่าแปร๊ปปป) ดังนั้นขึ้นอยู่กับคุณว่า สามารถรับได้แค่ไหน มีปัจจัยด้านครอบครัวที่เป็นข้อจำกัดตรงนี้หรือไม่ ต้องลองไตร่ตรองให้ดีว่า ทำได้บ้างบางโอกาส หรือไม่สามารถทำได้เลย จะได้พูดหรือตอบผู้สัมภาษณ์ให้เข้าใจตรงกัน มิใช่รับปากไปแล้วแต่ไม่สามารถทำได้จริงก็จะลำบากใจและอาจเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลังได้


ที่เขียนมาทั้งหมดนี้หวังว่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อย อาจไม่ได้เขียนลงรายละเอียดเพราะเขียนให้เพื่อนๆ ที่เข้าใจดีว่าทุกคนคงมีประสบการณ์ตรงนี้กันมาพอควรแล้ว แค่อยากจะเขียนสิ่งที่เป็นไฮไลท์เด่นๆ เพื่อรีเฟรซและรื้อฟื้นความทรงจำกันอีกครา ขอให้โชคดีค่ะทุกคน สู้ๆ และเป็นกำลังใจให้ค่ะ

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Modern Family...



ปกติจะไม่ค่อยอินกับละครที่เกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างครอบครัวที่มีเด็กๆรวมถึงเด็กเล็กๆที่สร้างขึ้นในบ้านเรา มักจะสร้างตามอุดมคติของครอบครัวตัวอย่าง ครอบครัวสมบูรณ์แบบ สุดแสนเพอร์เฟค บ้านหลังใหญ่โต พ่อแม่รวยแสนดี พร้อมลูกๆแสนประเสริฐ ที่หาได้ยากยิ่งในสัมคมปัจจุบัน

หรือไม่ก็เป็นบ้านที่ครอบครัวแตกแยกดราม่าจัดหนัก เด็กกลายเป็นเด็กมีปัญหาแบบสุดโต่ง สังคมฟอนเฟะ ผู้คนรอบกายในสังคมต่างเป็นสิ่งเร้าสิ่งกระตุ้น อันนี้ก็พยายามยัดเยียดเกินกว่าเหตุ ตั้งใจเรียกน้ำตา เรียกเรตติ้งกันไป ซึ่งก็ไม่ค่อยจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคม ยกเว้นคนที่โชคร้ายจริงๆที่ต้องเผชิญเหตุการณ์ดั่งในละคร

แต่ได้มีโอกาสดูซีรีส์ Grandfathered และ Fresh Off the Boat ที่ฉายในช่อง Fox Thai กลับรู้สึกว่าชอบและอินกับบรรยากาศของครอบครัว เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ/แม่/ลูก ที่มัน real สัมผัส จับต้องได้จริง รู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้ต่างไปจากสังคมในปัจจุบัน

เรื่องแรก Grandfathered เป็นเรื่องราวของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ปิดเรื่องท้องกับคนที่เป็นพ่อ กับลูกชายที่โตจนกลายเป็นหนุ่มฮิปสเตอร์ หนุ่มเซอร์รักษ์โลก ที่ยังอาศัยอยู่กับแม่ด้วยรถบ้าน มีความหวังความฝันที่จะขายโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จนกลายเป็นคนมีเงินขึ้นมา ไม่คิดที่จะหางานออฟฟิศ หรือทำงานประจำ มองว่าเป็นความคิดล้าสมัยไปแล้ว ตามคอนเซปท์ของคนรุ่นใหม่

ส่วนคนที่เป็นพ่อ หนุ่มใหญ่เจ้าเสน่ห์ ที่หลงใหลได้ปลื้มกับความหล่อ รวยและมีเสน่ห์ของตัวเอง กิ๊กกับบรรดานางแบบรุ่นลูกไปเรื่อย ไม่ได้คิดจริงจังหรือเป็นตัวเป็นตนกับใคร ตามสไตล์ผู้ชายเจ้าชู้ตัวพ่อ ที่ทำตัวเช่นนี้ตั้งแต่วัยรุ่นจนตัวเองย่างกรายเข้าสู่วัยหนุ่มใหญ่เต็มตัว ที่พึ่งจะรู้ว่าตัวเองกลายเป็นคุณตา เพราะว่าเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีลูกและลูกของตัวเองก็มีลูกแล้วด้วยเช่นกัน

เรื่องราวอันแสนจะอลเวงเหล่านี้กลับกลายเป็นเรื่องราวที่มีเสน่ห์อันแสนประหลาด ของครอบครัวยุคใหม่ ที่ไม่ได้ทำอะไรตามแบบฉบับดั้งเดิมอีกต่อไป เป็นเรื่องราวแบบฉบับพิเศษของแต่ละครอบครัว ที่ต้องด้นสดไปเรื่อย ตามสภาพแวดล้อม สถานการณ์ ปัจจัย ของคนในครอบครัว ที่ไม่ว่าแต่ละคนจะมีความไม่สมบูรณ์อยู่ในตัวกันทุกคน แต่ก็พยายามสร้างสิ่งดีๆ ขึ้นมาเพื่อ ให้ความหมายของคำว่า "ครอบครัว" กลับมามีความหมายที่ยิ่งใหญ่สำหรับ "หลานรัก" ที่ได้เกิดขึ้นมาในครอบครัวเช่นนี้

ส่วนอีกเรื่อง Fresh Off the Boat เรื่องราวของครอบครัวชาวจีนที่พอจะมีฐานะอยู่บ้าง เปิดร้านอาหารเล็กๆที่ในเมืองเต็มไปด้วยชาวผิวขาว มีเรื่องราวของความแตกต่างทางเชื้อชาติ แนวคิด วัฒนธรรม ประเพณี โดยเฉพาะเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของคนจีนที่มีความคิดความอ่าน แตกต่างกับความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของฝรั่งอย่างมาก

แล้วที่เป็นเอกลักษณ์คือคุณแม่ชาวจีนของครอบครัวนี้ ที่เผด็จการ เป็นหัวหน้าครอบครัว ประหยัดการใช้เงินอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช จนเข้าข่ายถึงความงกเรียกแม่ มีมุกเด็ดๆของความงกตัวแม่มาเรียกเสียงฮา ได้เป็นระยะๆ แม้ว่าตัวแม่จะดูเฮี๊ยบกับลูกเสียจนเกินไปในหลายครั้งหลายครา แต่สุดท้ายแล้ว ก็มีซีนที่อธิบายได้ว่า ที่ทำไปเพราะว่ารักและห่วงใยมากจนเกินไปในบางครั้ง ตามสไตล์คนเอเชีย

หรือประเด็นของลูกคนโตเริ่มเป็นวัยรุ่น เริ่มไม่เข้าใจแม่ ว่าทำไมแม่ตัวเองถึงต้องทำตัวเฮี๊ยบเกินกว่าเหตุ หากเปรียบเทียบกับแม่ของเพื่อนๆที่เป็นฝรั่ง จึงมักจะไม่ชอบแม่ตัวเอง และมักจะอิจฉาแม่ของเพื่อน ที่ทำตัวสนุกและเป็นเพื่อนกันมากกว่าจะเป็นแม่ ก็มีซีนที่อธิบายในตัวมันเองได้ว่า ทั้งที่จริงๆแล้วแม่ตัวเองก็เป็นคนตลกและสนุก แต่เมื่อทำหน้าที่แม่แล้ว ต้องรับบทบาทและหน้าที่ความเป็นแม่ ซึ่งหากไม่ทำตัวและบุคคลิกเช่นนี้ ลูกก็ดื้อและไม่เชื่อฟังและทำตาม 

สังคมบ้านเราก็ไม่ต่างจากสองเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เพราะสังคมในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวพ่อแม่อยู่ด้วยกัน ครอบครัวพ่อเลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว ต่างก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ปรับตัวให้ทันเหตุการณ์ และสถานการณ์ที่ลูกๆและคนในครอบครัวกำลังเผชิญอยู่

สังคมในทุกวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสีเทา แล้วแต่ว่าจะเฉดเข้มหรือเฉดอ่อน อยู่ที่คนเป็นพ่อ แม่ และลูก ๆ จะปรับตัวให้ครอบครัวของตัวเอง เข้ากับสังคมนั้นๆ ได้อย่างไร และปรับตัวให้เข้ากันระหว่างคนในครอบครัวได้อย่างไร เพื่อยังคงความหมายที่ยิ่งใหญ่ของคำว่า "ครอบครัว"