วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559

ขบวนการตั๊กแตนทำลายล้าง



วันก่อนได้มีโอกาสดูสารคดีเกี่ยวกับเรื่อง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตั๊กแตน โดยหากนำเจ้าตั๊กแตนมาอยู่ตัวเดียวโดดๆ นิสัยเจ้าตั๊กแตนตัวนั้น จะมีนิสัยรักสงบ รักสันโดด และรักสันติ

แต่หากว่านำเจ้าตั๊กแตนตัวเดียวกันนี้ จับไปรวมกลุ่มกับบรรดาฝูงตั๊กแตน เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะ เวลาหนึ่ง พฤติกรรมจะปรับเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมฝูง เริ่มตั้งแต่เปลี่ยนสีตัวเอง จากสีเขียวกลายเป็นสีน้ำตาล จากนิสัยรักสันโดดกลายเป็นชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง จากนิสัยรักสงบและสันติ ก็กลายเป็นก้าวร้าวและพร้อมจะทำลายล้าง พืชพันธุ์ธัญญาหารที่เหล่าบรรดาฝูงตั๊กแตนนั้นพบเจอ

จะว่าไปพฤติกรรมนี้ก็ไม่ต่างไปจากพฤติกรรมวัยรุ่นบ้านเราสมัยนี้ โดยหากว่าอยู่คนเดียว เดินคนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียว ก็แลดูเป็นลูกที่น่ารัก น้องที่น่ารัก เด็กวัยรุ่นธรรมดาๆคนหนึ่ง

แต่หากว่าพอได้มารวมกลุ่ม กับกลุ่มหรือแก๊งค์ ที่ตัวเองได้ไปอยู่ร่วมด้วยแล้ว พฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นคนนั้นๆ กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นเด็กก้าวร้าวอย่างรุนแรง รักพวกพ้องโดยไม่นึกถึงเรื่องความถูกต้อง ลืมเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม อะไรควร อะไรไม่ควร ไปจนหมดสิ้น

เห็นข่าวเรื่องที่วัยรุ่นทำร้ายชาวต่างชาติช่วงสงกรานต์ที่หัวหิน แล้วเศร้าใจจริงๆ กับวัยรุ่นสมัยนี้ แค่มีเรื่องกระทบกระทั่งกันเพียงเล็กน้อย กลับกลายทำให้ต้องไปทำร้ายกันถึงขนาดนั้นเชียวหรือ และที่สำคัญ ทำร้ายแม้กระทั่งผู้หญิง

อยากฝากถึงพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกในวัยรุ่นอยู่ คอยสังเกตพฤติกรรมของเด็กกันด้วยนะคะ สร้างภูมิคุ้มกันให้เค้าตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อตัวเด็กเองจะได้มีภูมิคุ้มกันตนเองสูง  และจะได้ไม่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการตั๊กแตนทำลายล้างค่ะ

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***



วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

ทายนิสัยจากเพจที่กดไลค์



         วันสุดท้ายของอาทิตย์เช่นนี้ ขอเขียนเรื่องเบาๆ เกี่ยวกับเรื่องทายนิสัยจากเพจที่กดไลค์ (แลดูอินเทรนด์เนอะ) จากข่าวในหน้าฟีดเฟซบุคกันดีกว่า ว่าตื่นเช้ามาที่คุณคว้าเอาโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนมาอัพเดท ข่าวสารต่างๆจากในหน้าเพจที่คุณไปติดตามกดไลค์ไว้ ส่งตรงมายังหน้าฟีดในเฟซบุค ซึ่งนั่นคือเรื่องราวที่คุณชื่นชอบและสนใจอ่าน เรามาดูกันดีกว่าว่าจะทำนายลักษณะนิสัยของคุณเป็นเช่นไรกันได้บ้าง โดยยึดตามหลักจิตวิทยาจากสิ่งที่ชื่นชอบกันค่ะ

  1. เพจข่าว เป็นคนมีความคิดความอ่านกว้างไกล ติดตามสถานการณ์รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น สังคม เศรษฐกิจ การเมือง รู้ทันความคิดคนอื่น จิตใจหนักแน่นและแน่วแน่ และยังเป็นคนใจแข็งพอสมควรอีกด้วย 
  2. เพจการเงิน แน่นอนว่าเป็นคนสนใจเรื่องเงินๆทองๆเป็นหลัก ติดตามสถานการณ์การลงทุนเพื่อประเมินว่า ตลาดหรือหุ้นตัวไหนที่น่าลงทุนเพิ่ม ตลาดหรือหุ้นตัวไหนที่ควรลดการลงทุน ตลาดหรือหุ้นตัวไหนเริ่มเสี่ยงคอย cut loss หรือ stop loss ดังนั้นบ่อยครั้งที่มักจะประเมินความสัมพันธ์ของคนรอบตัวราวกับตลาดหรือหุ้นตัวนั้น
  3. เพจท่องเที่ยวและกีฬา เป็นคนชอบการผจญภัย กล้าที่ลองอะไรแปลกใหม่ เป็นคนรักธรรมชาติ และสัตว์ เจ้าระเบียบพอควร เข้าสังคมได้ดี กล้าคิดกล้าตัดสินใจ เชื่อมั่นในตัวเองสูง เก็บความรู้สึกเก่ง และไม่กลัวที่จะเผชิญกับปัญหาเพราะมีวิธีรับมือกับการแก้ไขปัญหาได้ดี
  4. เพจเทคโนโลยีและไอที ไม่ว่าจะ cool gadget ตัวไหนออกใหม่ แอพตัวไหนเด็ด โปรแกรมตัวไหนโดน รู้หมด จัดว่าเป็นคนมีน้ำใจ ไม่ชอบยกตนข่มท่าน คือมีความรู้แต่ไม่คุยโวโอ้อวด มักจะชอบแสวงหาความรู้ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ตัวเองอยู่เสมอ เป็นคนมองโลกในแง่ดี
  5. เพจถ่ายรูป กล้องรุ่นไหนออกใหม่ เลนส์ตัวไหนออกมา แอพหรือโปรแกรมแต่งรูปตัวไหนเจ๋ง เป็นต้องรู้ คนประเภทนี้ถือว่าเป็นคนที่เข้าใจยากพอสมควร อารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ลมเพลมพัด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ยากต่อผู้อื่นในการที่จะเดาใจได้ถูก แต่เป็นคนจิตใจดี เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ และยังชอบช่วยเหลือผู้อื่น (โดนเต็มๆ ข้อนี้ เถียงไม่ออกสักคำ ^^")
  6. เพจดนตรีและศิลปะ มีความเพ้อฝันและอยู่ในโลกส่วนตัวสูง คนอื่นมักจะเข้าใจไม่ง่ายนัก เป็นคนมองโลกในแง่ดี มองโลกสวยงามอยู่เสมอ เป็นนักสังเกตที่ดี มีจินตนาการที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็มักชอบทำให้คนใกล้ตัวมีความสุข
  7. เพจดาราและคนดัง ไม่ว่าจะข่าวคราว ข่าวฉาว ใครเป็นแฟนกับใคร ใครเพิ่งเลิกกับใคร ใครกำลังเป็นคู่กรณีกัน ไม่พลาดสักเรื่อง จัดว่าเป็นคนที่ชอบสนใจเรื่องราวรอบตัว และมีความอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น แต่มีความรอบคอบในการตัดสินใจ
  8. เพจ How to เป็นคนที่มีความเข้าใจคนอื่น จิตใจดี อ่อนโยน ไม่ก้าวร้าว แต่มีความมั่นใจเต็มร้อย ทำให้บางครั้งดูเป็นคนดื้อเงียบ ด้วยความเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง แต่รู้จักให้อภัยคนอื่น และเป็นที่ปรึกษาเรื่องชีวิตหรือความรักให้คนรอบกายได้ดี
  9. เพจนิตยสารผู้หญิง บิวตี้กูรูตัวแม่มาเอง เทรนด์เสื้อผ้า หน้าผม คอลเลคชั่นนี้เป็นเช่นไร อันไหนอิน อันไหนเอาท์ เจ๊รู้หมด แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าแม่แฟชั่น รักสวยรักงาม เป็นคนสนุกสนาน ชอบปาร์ตี้หรือแฮงค์เอาท์กับเพื่อนๆ สดใส ร่าเริง เป็นที่รักของเพื่อนๆ
  10. เพจทาสแมว อันนี้แถมให้เป็นพิเศษเห็นกำลังได้รับความนิยมอยู่จำนวนไม่น้อยตามเพจใน เฟซบุคกับเหล่าบรรดาทาสแมวทั้งหลาย คนที่ชอบน้องแมวมากเป็นพิเศษ จัดว่าเป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบอยู่ใต้อำนาจใคร รสนิยมดี ชอบใช้ข้าวของเครื่องใช้มีราคา เป็นตัวของตัวเองสูง ชอบฉายเดี่ยว ออกแนวแลดูหยิ่งยโส ไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ จู้จี้จุกจิก และขี้ระแวง ซึ่งจะมีความคล้ายกับนิสัยของน้องแมวที่ชื่นชอบนั่นเอง 

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***
            

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

กับดักชีวิตกับชีวิตดี๊ดี


 
             ในยุคที่เราเองต่างก็อยู่ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค ไม่ว่าจะเป็นเช็คอินในเฟซบุค หรือถ่ายรูปลงอินสตาแกรม สังคมแห่งการการแชร์ สังคมแห่งการกดไลค์ สังคมแห่งกระแส และเกาะติดตามเทรนด์ เพื่อไม่ให้ตกยุค เด๋วจะคุยกับใครไม่รู้เรื่อง

             ทำให้คนในยุคนี้ ยึดติดกับการเสพสังคมที่มีแต่ความสวยหรู ดูดี ดูมีสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นการไปทานร้านอาหารในบรรยากาศสุดหรู นั่งทานร้านกาแฟสุดชิค ไปเที่ยวตามสถานที่สุดฮิป และช้อปปิ้งกับสินค้าแบรนด์เนมในคอลเลคชั่นใหม่รุ่น Limited Edition เพื่อความเป็นแฟชั่นนิสต้า ตัวแม่ และตัวพ่อ

             จนก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจส่วนบุคคล กับไลฟ์สไตล์ชีวิตดี๊ดี ที่กลายเป็นสมการผกผัน กับจำนวนเงินในกระเป๋าสตางค์ตนเอง ด้วยงบรายจ่ายในแต่ละเดือนเพื่อให้ชีวิตตัวเองดูเป็นชีวิตดี๊ดีสมัยนี้ มันไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆเลย

             แล้วเหล่าบรรดาเหล่าบัตรเครดิตทั้งหลายเอง ต่างก็ออกโปรโมชั่นมาดึงดูดอิงกับกระแสชีวิตดี๊ดี ไม่ว่าจะเป็น ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยที่นานขึ้น ส่วนลดร้านค้า เครดิตรับเงินคืน Cash Back ผ่อนสินค้าหรือบริการ 0% 10 เดือน ที่ต่างเดินพาเหรดมายั่วกิเลส ให้ผู้ถือบัตรของตนเองต่างอยากใช้บัตร

             จึงไม่แปลกใจที่อ่านข่าวเจอว่า คนในยุคนี้ส่วนใหญ่มีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ตัวเองสร้างไว้ค่อนข้างมากและอัตราการเพิ่มขึ้นมีแนวโน้มสูง อันเนื่องมากจากนำพาชีวิตติดกับดักกับคำว่า "ชีวิตดี๊ดี" เพราะด้วยความที่ใช้บัตรเครดิตกันจนเคยตัว เพราะว่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต นั้นแสนที่จะสะดวกสบาย และทันใจ อยากได้ต้องได้ อยากมีต้องมี รูดไปก่อน ผ่อนทีหลัง หรือ 0% 10 เดือน

             มารู้ตัวอีกทีก็หนี้ท่วมตัว บัญชีเงินเดือนก็กลายเป็น "บัญชีเดินสะพัด" (เดินข้ามไปจ่ายค่าบัตรเครดิตกันจนสะพัด) ไม่เหลือเงินเก็บ หรือแม้แต่เงินกินข้าวในแต่ละวันยังแทบไม่มี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ โดยเฉพาะกับวัยรุ่น วัยเรียน วัยที่ยังไม่ได้ทำงาน และยังขอสตางค์พ่อแม่อยู่ วัยที่รู้จักแต่การใช้เงินเพื่อให้ชีวิตดี๊ดีเท่านั้น โดยไม่ตระหนักถึงความสำคัญของที่มาของรายได้

             ใครที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ กับลูกที่ยังเป็นวัยรุ่น วัยเรียนยุคนี้ ควรปลูกฝังเรื่องวินัยในการใช้จ่ายเงินให้กับลูก ตั้งแต่ยังเล็กนะคะ เพื่อให้เค้าได้ตระหนักถึงความสำคัญของเงิน ใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่า ไม่ใช้จ่ายไปอย่างไร้สาระ เพื่ออนาคตทางการเงินที่เข้มแข็ง และมีภูมิคุ้มกันที่ดี เพื่อจะไม่ก่อปัญหาหนี้เกินตัวในอนาคตค่ะ

             หรือแม้กระทั่งคนวัยทำงานเองหลายคนก็ยัง ลืมให้ความสำคัญ และตระหนักในส่วนนี้ ซึ่งหาก ว่าเป็นไปได้ ควรเรียนรู้วิธีการทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคลในแบบง่ายๆ ไปจนถึงขั้น Personal Wealth Forecasting ได้ยิ่งดีเพื่อเป็นตรวจสุขภาพทางการเงินประจำปีของตนเองด้วย

             มาถึงตรงนี้เลยอยากจะขอขอบคุณและแนะนำ คุณ เอ หรือ A Academy ผู้บุกเบิกและสอนการวางแผนทางการเงินให้คนไทย ได้เรียนรู้หลักสูตรการวางแผนทางการเงินให้กับตนเองในแบบง่าย ๆ ไปจนถึงขั้นแอดวานซ์ เรียนรู้เรื่องการลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้เป็นไปตามเป้าหมายชีวิตในอนาคต 

             โดยมีความคิดที่จะปลูกฝังให้คนไทยมีวินัยทางการเงินกันเพิ่มมากขึ้น เพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหากลายเป็นคนชราที่ไม่มีเงินยามเกษียณ ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาต่อตนเองและต่อสังคมตามมาอย่างมากมาย ตั้งใจสอนกันแบบฟรีๆ ไม่คิดค่าใช้จ่ายเลยแม้แต่น้อย 

             ซึ่งหากว่าท่านใดสนใจ ขอแนะนำให้เรียนกันได้โดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยค่ะ ช่วยประชาสัมพันธ์ให้อีกแรง และเป็นกำลังใจให้คุณเอ สู้ต่อไป อย่าไปท้อกับพวกชอบรวยทางลัด แต่ไม่ยอมอ่านอะไรเกิน 5 บรรทัดนะคะ



________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน Digital Content Marketing
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***
            

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

ว่าด้วยเรื่องปิด-เปิดเทอมของเด็กๆที่ส่งผลกระเทือนต่อผู้ใหญ่ระดับ 8.9 ริกเตอร์




เมื่อวันก่อนได้อ่านเกี่ยวกับผลโพลชี้ให้อยากปิด-เปิดเทอมเหมือนเดิม ซึ่งโพลนี้จัดขึ้นโดยศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ หรือ Coordinating Center for the Public Higher Education Staff (CHES) ซึ่งโพลนี้ได้จัดขึ้นในหัวข้อที่ว่า "ชาวอุดมศึกษาเห็นด้วยหรือไม่ กับการปิดเทอมใหญ่ให้สอดคล้องกับมหาวิทยาลัยในอาเซียน" 

เป็นการทำแบบสำรวจโดยเด็กมหาวิทยาลัยทุกสถาบัน และตามเพจในเฟซบุคอื่นๆที่มีเด็กมหาวิทยาลัยเป็นแฟนเพจอยู่เป็นจำนวนมาก เช่นเพจดังอย่าง เพจ Drama-Addict ซึ่งส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า "ควรปิดภาคเรียนตามระบบของไทย (ปิดเทอมใหญ่ช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม)" คิดเป็นร้อยละ 88.6% และส่วนน้อยที่เห็นว่า "ควรปิดภาคเรียนตามระบบอาเซียน (ปิดเทอมใหญ่ช่วงเดือน พฤษภาคม - กรกฎาคม )" คิดเป็นร้อยละ 11.4%

จะว่าไปเรื่องนี้เป็นข่าวสั่นสะเทือนวงการการศึกษาในระดับ 8.9 ริกเตอร์ ของเด็กมหาวิทยาลัย รวมไปถึงอาจารย์ และบรรดาผู้ปกครอง ในคราวที่กำลังจะพิจารณาหาข้อสรุปว่าควรเปลี่ยนตามอาเซียน หรือไม่ควรเปลี่ยนและยึดถือตามแบบวิถีไทยดีแล้ว

เท่าที่ทราบข้อดีในตอนที่จะเปลี่ยนนั้นคือ เด็กไทยจะได้มีโอกาสที่จะไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนได้มากขึ้น เนื่องมาจากการปิด-เปิดภาคเรียนตรงกันกับบรรดาประเทศในอาเซียน

แต่ข้อเสียนี่เยอะมาก อันดับแรกเปลี่ยนการเปิดเทอมแรกเป็นระหว่างเดือน ส.ค. - ธ.ค. ซึ่งเราต่างก็ทราบกันดีว่าช่วงปลายปี เป็นช่วงที่มีวันหยุดเยอะ และยังเป็นช่วงปีใหม่อีก แต่กลับกลายเป็นช่วงเร่งอ่านหนังสือเพื่อใกล้สอบ แทนที่จะได้ผ่อนคลาย เตรียมรับเทศกาลแห่งความสุขในช่วงปลายปี ที่ค่อนข้างขัดแย้งกับความรู้สึก

อันดับต่อมาพอเปลี่ยนการเปิดเทอมสองเป็นระหว่างเดือน ม.ค. - พ.ค. อันนี้ก็ยิ่งหนัก เพราะรู้กันดีว่าเทศกาลสงกรานต์นั้นเป็นเทศกาลแห่งวันหยุดยาวประจำปีของบ้านเรา จำนวนนักเรียนที่มาเรียนกันในช่วงนั้นย่อมมีจำนวนน้อยมาก ขณะที่ส่วนใหญ่ต่างก็กลับบ้านไปต่างจังหวัด หรือไปท่องเที่ยวกับครอบครัวในช่วงเทศกาลดังกล่าว และที่เห็นชัดเจนอีกอย่างคงเป็นเรื่องอากาศร้อนอบอ้าว ที่นับวันอุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นทุกๆปี ทำให้บรรยากาศในการเรียนการสอนช่วงหน้าร้อนช่างทรมานและไม่มีสมาธิในการเรียน

อีกทั้งยังก่อให้เกิดความเสียหายในการสมัครงานของนักศึกษาจบใหม่ การเสียโอกาสของอาจารย์แลกเปลี่ยน และการเสียโอกาสในการสอบใบประกอบวิชาชีพของนักศึกษาจบใหม่ เช่น คณะพยาบาลศาสตร์ โดยโพลนี้ทางคณะผู้ทำจะนำเสนอ  เพื่อพิจารณาทบทวนมติของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศ

คงต้องติดตามต่อไปว่าผลจะเป็นไร ในปีหน้าเด็กมหาวิทยาลัยเราจะ "ปิด-เปิดภาคเรียนตามระบบอาเซียน" หรือเราจะ "ปิด-เปิดภาคเรียนตามระบบวิถีไทย" บรรดานักเรียน อาจารย์ และผู้ปกครองคงต้องลุ้นกันตัวโก่งสำหรับงานนี้ค่ะ

________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

วัฒนธรรมร่วมสมัยใน LINE Group



           ทุกวันนี้แอพพลิเคชั่น LINE กลายเป็นแอพแชทที่ใช้กันเยอะที่สุดในประเทศไทย ใช้กันทุก Generation ไม่ว่าจะเป็นในยุคของ Baby Boomer / Gen X / Gen Y / Gen C เรามาดูกันว่าพฤติกรรมการแชทใน LINE Group ของคนแต่ละกลุ่มเป็นเช่นไรกันบ้าง

          1. Baby Boomer 

           ลักษณะสังคม: คนในยุคนี้เป็นกลุ่มคนที่มีอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป เป็นคนที่อยู่สังคมที่ดี ทุกคนมีจิตใจ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีมารยาท และวัฒนธรรมในรูปแบบทางการ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องเข้าสังคม เวลาติดต่อพบปะสื่อสารกับเพื่อน ส่วนใหญ่จะเน้นไปมาหาสู่กันถึงที่บ้านโดยตรง และชอบส่งจดหมายเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุขดิบหากัน อีกทั้งส่งการ์ดอวยพรตามวาระโอกาสพิเศษ เช่น วันเกิด โดยส่งหากันทุกปีและทำเป็นประจำ และมีการโทรศัพท์หากันที่บ้านบ้างเป็นครั้งคราว

           สิ่งที่ชอบสื่อสารใน LINE: ด้วยความที่มีมารยาท และวัฒนธรรมค่อนข้างสูง การกล่าวสวัสดีทักทายและการกล่าวลา จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในมารยาททางสังคม ทำให้การส่งภาพพร้อมถ้อยคำอวยพร กล่าวสวัสดีทักทายยามเช้า หรือกล่าวราตรีสวัสดิ์ก่อนนอน จึงเป็นเรื่องสำคัญของคนกลุ่มนี้ มักจะนิยมส่งหาคนที่เป็นเพื่อนในวัยเดียวกัน หากว่าใครสามารถหาภาพเพื่อมาส่งได้ เกร๋ กว่าคนอื่นในกลุ่ม ถือว่าเป็นคนที่ป็อปปูล่าร์ที่สุดในกลุ่ม ดังนั้นอย่าแปลกใจว่า การหาภาพเพื่อมาสวัสดีทักทายหรือกล่าวราตรีสวัสดิ์ในแต่ละวัน ถือเป็นวาระแห่งชาติของคนยุคนี้กันเลยทีเดียว แล้วอีกสิ่งที่ชอบทำคือการแชร์สาระดีดีมีประโยชน์มาให้อ่านกัน

           2. Gen X (Generation X)

           ลักษณะสังคม: ยุคแห่งเสรีภาพเบ่งบาน เป็นกลุ่มคนในวัยทำงาน เติบโตมากับวัฒนธรรมป็อปคัลเจอร์ เริ่มมีคอมพิวเตอร์ และวีดีโอเกม ในยุคเริ่มต้น เริ่มที่จะมีความคิดสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเองสูง และไม่ชอบอะไรที่เป็นทางการมากจนเกินไปนัก เริ่มไม่ใช้ระเบียบกฎเกณฑ์ในการเข้าสังคม ชอบพูดคุยกันในแบบปกติทั่วไป มีอะไรก็คุยกันแบบถามมาตอบไป เวลาติดต่อสื่อสารกับเพื่อน เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง โดยเริ่มต้นจาก โทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์มือถือ จนมาเป็นยุคเริ่มต้นของอินเตอร์เน็ต เริ่มมีการส่ง E-Mail ส่ง E-Card หากัน  และแชทหากันผ่านโปรแกรม msn / icq (เด็กรุ่นใหม่ทำหน้างงกันละซี๊ว่ามันคืออะไร)

           สิ่งที่ชอบสื่อสารใน LINE:  คำที่มักใช้ในแชท ยังเป็นลักษณะคำพูดปกติ มีการเขียนแบบเต็มประโยค มีสไตล์การเขียนที่ได้รับอิทธิพลจากรูปแบบการเขียน E-Mail หากัน มีส่วนของการเกริ่นนำ มีส่วนของหัวข้อของเรื่อง มีส่วนของเนื้อหา และมีส่วนของบทสรุป แต่หากมีเรื่องต้องคุยกันยาว จะใช้โทรศัพท์หากันเสียมากกว่า ต้องมานั่งแชทหากันยืดยาว

           3. Gen Y (Generation Y)

            ลักษณะสังคม: ยุคแห่งเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ตเบ่งบาน ชอบเรื่องไอที มีความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ สามารถทำอะไรหลายๆอย่างได้พร้อมกัน คงได้รับอิทธิพลจาก multi-tasking ในคอมพิวเตอร์ มักจะใจร้อน ไม่ค่อยมีความอดทน เวลาติดต่อสื่อสารกับเพื่อน แชทเป็นหลัก โทรศัพท์น้อยครั้งมาก เว้นแต่ธุระด่วน เรื่องจำเป็น ชอบการสื่อสารแบบสั้น ๆ ไม่ชอบอ่านอะไรยาว ๆ เหมือนที่มีคนชอบแซวว่า "คนยุคนี้ไม่ชอบอ่านอะไรยาวเกิน 5 บรรทัด"

           สิ่งที่ชอบสื่อสารใน LINE: คำที่มักใช้ในแชท จึงมักเป็นลักษณะคำสั้นๆ ห้วนๆ ไม่ชอบเขียนหรืออ่านอะไรยาวๆ ไม่ชอบยืดเยื้อ ไม่มีส่วนเกริ่นนำ ไม่มีส่วนหัวข้อของเรื่อง มักจะส่งข้อความในส่วนของเนื้อเรื่องมาแบบสั้นๆ บ่อยครั้งที่ทำให้ผู้รับข้อความ อ่านแล้วต้อง งงงงวย ว่าคุณน้องต้องการจะสื่ออะไร ต้องเดาทางกันให้ดี ว่าสื่อที่ต้องการสารมาแนวไหน ไม่งั้นอาจมีดราม่า

           4. Gen C (Connected Generation)

           ลักษณะสังคม: กลุ่มคนที่อยู่ในยุค 1 - 3 แต่เสพติดการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค และอินเตอร์เน็ต มากกว่าคนอื่น รู้หมดว่ากระแสอะไรดังไม่ว่าจะวงการบันเทิง ข่าวซุบซิบคู่รักดารา วงการละคร วงการหนัง วงการแฟชั่น ข่าวโปรโมชั่นเซลกระหน่ำลดราคา อีเวนท์เกร๋ๆ สถานที่ชิคๆ ร้านอาหารชิลๆ

           สิ่งที่ชอบสื่อสารใน LINE: คำที่มักใช้ในแชท แน่นอนว่าต้องเป็นคำที่กำลังได้รับความนิยม หรือกำลังเป็นคำที่อยู่ในกระแสนั้นๆ ไม่ว่าจะ เวิ่นเว้อ สวยเฟร่ออ จุง เบย ดี๊ดีย์ เริ่ด น้ำตาจิไหล ฟิตเฟร่อ สตรอง อัลไล เพื่อให้หน้าจอแชทแลดู ฟรุ้งฟริ้ง (อุ๊บสสส)

          ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดก็ตาม วัฒนธรรมการส่งสติ๊กเกอร์เป็นหัวใจหลักของการแชทผ่านแอพ LINE ซึ่งนั่นคือจุดเด่นที่ทำให้ LINE ได้รับความนิยมจากคนเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นแอพแชทอันดับหนึ่งในประเทศ นอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่น จนทำให้แบรนด์ต่างๆ ในประเทศเลือกใช้เป็นหนึ่งในช่องทางสื่อสารการตลาดผ่านออนไลน์ โดยออกสติ๊กเกอร์มาเพื่อให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนได้โหลดเอาไปใช้กันเพื่อเป็นการโปรโมทสินค้า ส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ทันสมัย และสร้างกระแสในสังคมโลกออนไลน์

           เป็นข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้ไอเดียมาเขียนและค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่ม หลังนั่งอ่านข้อความใน LINE Group ของผู้ร่วมวงสนทนาที่ต่างยุคต่างสมัย แต่สิ่งที่ไม่ต่างกันคือ ความรัก ความคิดถึง และความผูกพันที่คงมีอยู่ให้กันเสมอมาและตลอดไป จุ๊บ ๆ ค่ะ


________________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

มนุษย์แม่




           เมื่อวานนี้มนุษย์ป้ากับมนุษย์แม่มีโอกาสได้ไป ร่วมงาน "ไทยแลนด์ คอมิค คอน 2016" อ่านถึงตรงนี้แล้ว กรุณาอย่าเข้าใจผิดคิดว่า เราสองคนแปลงร่างเป็น เซลเลอร์มูนกับ วันเดอร์วูแมน ไปร่วมงาน โอ้ววววว โน!

          พวกเราไปเชียร์และไปส่งคุณหลานร่วมงาน เหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ที่เป็น โลกของเหล่าตัวการ์ตูนดัง ของทางฝั่ง ตะวันออก หรือที่เรียกว่า อนิเมะ มาพบปะ กับเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ ของทางฝั่งตะวันตก

          เหล่าซูเปอร์ฮีโร่ของทางฝั่งตะวันตก นำขบวนโดย ดาร์ท เวเดอร์ มาทั้งสมัยหนุ่ม และภาคด้านมืดครอบงำเต็มตัว เดดพูล แบทแมนเวอร์ชั่นล่าสุด กัปตันอเมริกา หรือแม้กระทั่ง ผีนางพยาบาลสุดฮิตในฉากดัง ของหนังไซเลนท์ ฮิลก็มา รอบนี้มนุษย์ป้า นำคะแนนทิ้งห่างมนุษย์แม่แบบขาดลอย พร้อมทำหน้าภาคภูมิใจ อิอิ


           ส่วนฝั่งตัวการ์ตูนของทางฝั่งตะวันออก นำขบวนโดย คิริโตะ ดราก้อนบอล 5 สาว Vocaloid และเหล่าบรรดาซามูไร นินจา และโกโบริ (ร่วมสมัยฝุดๆ) รอบนี้มนุษย์แม่ทำคะแนนนำโด่งมนุษย์ป้า เพราะได้อิทธิพลจากคุณลูก หุหุ

          แต่ที่สะดุดตาสุดคือ เหล่าบรรดาผู้ชายที่มี รสนิยมชื่นชอบในการแต่งตัวเป็นผู้หญิง หน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารักกันหลายคนเลย แม้จะเดินกะเผลกกันบ้าง ด้วยความไม่คุ้นเคย กับการใส่รองเท้าส้นสูง (รู้แล้วละสิงานนี้ ว่ามันทรมานและเป็นสกิลขั้นสูงของผู้หญิง) ตามเทรนด์หนึ่งที่ฮิตมากในญี่ปุ่น แม้จะดู แปลกๆ แต่ก็รับได้ตามยุคตามสมัยที่ เปลี่ยนแปลงไป

           ระหว่างนั่งรอคุณหลาน เหล่ามนุษย์ป้ากับ มนุษย์แม่ นั่งถ่ายรูปเหล่าบรรดาคอสเพลย์ ที่แต่งตัวเดินมาให้คนในงานได้ถ่ายรูปกัน ถ่ายรูปกันไป เมาท์มอยกันไป คนนี้น่ารักเนอะ คนนี้สวยจัง คนนี้ลงทุนมากชุดจัดเต็ม คนนี้ไอเดียดีจังแบบไม่ต้องลงทุนเยอะ เดินมาอย่างนี้รองเท้ากัดชัวร์ ฟันธง คนนี้ผู้หญิงหรือผู้ชายอะ (ในตัวการ์ตูนผู้หญิง) คนนี้ "ใช่" ช่ายม๊า (ในตัวการ์ตูนผู้ชาย) เป็นการฝึกทักษะการสแกนเพศขั้นแอดวานซ์

           ระหว่างที่เมาท์มอยกันเป็นที่สนุกสนาน ก็เหลือบสังเกตเห็นคนนั่งข้างๆ คุณแม่กำลัง ช่วยคุณลูกแต่งตัวคอสเพลย์ มีอุปกรณ์มา ด้วยครบครัน กาว กรรไกร ด้าย เข็ม ของจิปาถะอื่นๆ อีกมากมาย ดูแล้วอด อมยิ้มตาม กับความน่ารักของแม่ลูกคู่นี้

           แม้ว่าผู้ใหญ่บางคนอาจมองดูว่าไร้สาระกับ งานแบบนี้ แต่โดยส่วยตัวแล้ว ถือว่ากิจกรรม สร้างสรรค์อย่างหนึ่ง และอย่างน้อยก็ยังดี กว่าการไปมั่วสุม กินเหล้า หรือใช้สารเสพติด

           ขอนับถือและปรบมือดังๆ ตรงนี้ให้กับ เหล่าบรรดามนุษย์แม่สมัยใหม่ ที่ไม่ว่าจะ ทำงานหนักแค่ไหน แต่ก็ยังสามารถแบ่งเวลา เพื่อมาดูแล เอาใส่ใจ ร่วมสนับสนุน ให้กำลังใจ หรือแม้กระทั่งร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมของลูกๆ ค่ะ


______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com*** 

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

Welcome World




หลายต่อหลายช่องต่างแข่งขันกันนำเสนอข่าว ไม่ว่าข่าวเช้า ข่าวเย็น แม้กระทั่งข่าวรอบดึก และรายการ Welcome World ช่อง Mono29 ก็เป็นหนึ่งในรายการข่าวรอบดึกที่ทำได้ดี

สังเกตได้ว่าพิธีกรข่าวช่องนี้มีทักษะ น้ำเสียง น่าฟัง ชัดถ้อย ชัดคำ ทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ฟังแล้วเพลินตามอยู่หลายคน

แต่ที่สำคัญที่สุด พิธีกรชายที่ช่างคัดหน้าตา กันมาแต่ละคน เรียกว่าหากเอาขวัญใจเจ้ อย่างน้องอาเล็ก ธีรเดช ไปยืนประกบข้างๆ น้องอาเล็กมีหมองงานนี้

นั่นคือน้องแบงค์ พบเอก พรพงเมตตา ที่เป็นที่รู้จักจากรายการ Welcome World ส่วนอีกคนที่ดังจากรายการเดียวกันก่อนหน้านี้จนรับจ็อบเดินสายเป็นพิธีกรตามงานอีเวนท์่ใหญ่ๆ

นั่นคือ ทศธรรม เปี่ยมสมบูรณ์ ซึ่งหากว่าใครเคยอ่านสัมภาษณ์แล้วจะรู้ว่า จิตใจยังหล่อมากด้วย ไปสมัครเป็นทหารเอง โดยไม่ต้องรอลุ้นจับใบดำใบแดงเลย แม้คุณพ่อจะเป็นนายตำรวจใหญ่ก็ตาม

ทั้งสองคนนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของคนรุ่นใหม่ไฟแรง มีความชำนาญทั้งสองภาษา และยังทำบทบาทของหน้าที่พิธีกรได้ดี อนาคตสดใสในเส้นทางที่ก้าวเดินอย่างแน่นอนค่ะ


______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

กระแสกับความเป็นจริง


          จากข่าวคราวร้อนๆ ในเดือนที่อากาศร้อนจัดของทางจังหวัดน่าน จนกลายเป็นกระแสให้ศิลปินดังหลายคน ต่างพร้อมเข้าร่วมกับผู้ว่า เพื่อปลูกป่าในพื้นที่กว่า 5 แสนไร่

          ไม่ว่าจุดชนวนต้นเหตุจะมาจากอะไร จากนักเลงคีย์บอร์ด จากกระแสโลกร้อน จากกระแสวันคุ้มครองโลกที่ผ่านมาเมื่อวานนี้ แต่หากถามว่าเป็นไอเดียที่ดีหรือไม่ ตอบได้โดยไม่ต้องคิดเลยว่าดีมาก

          เพียงแต่อยากให้คิดใคร่ครวญความเป็นจริงดูสักนิด ก่อนที่จะลงมือทำว่า หากต้องมาปลูกป่าตอนนี้ จะมีน้ำให้รดเพื่อเลี้ยงดูต้นกล้ากันหรือไม่

          สภาพอากาศแห้งแล้งในหน้าร้อนเช่นนี้ ไม่ต้องหวังพึ่งน้ำฝน แล้วจะพึ่งพาน้ำจากกรมชลประทานหรือ แค่ทำสวนทำนาทำไร่ ยังมีน้ำไปเลี้ยงไม่เพียงพอกันเลย

          เพราะการปลูกป่ามิใช่การจัดอีเวนท์ เกร๋ ๆ ที่ให้คนมาแห่มาร่วมทำกิจกรรม มาร่วมถ่ายรูป แชะ แล้วแชร์ แล้วก็เดินจากกันไป การปลูกต้นไม้ต้องการน้ำเพื่อการเติบใหญ่ของต้นกล้าต้นน้อยๆ

          ลองใคร่ครวญ คิดทบทวน และประสานงานกับผู้มีประสบการณ์ในการปลูกป่าจริงๆ ว่าควรทำเช่นไรจึงจะได้ผล เพื่อแนวคิดและกระแสที่ดีเช่นนี้ได้อยู่รอด และกลายเป็นป่าขึ้นมาจริงๆ ดังที่ตั้งใจกันไว้

          จะว่าไปเรื่องนี้ก็ไม่ต่างกับข่าวเรื่องภาพวาดแนวสตรีทอาร์ทที่ภูเก็ต โดยเป็นแนวความคิดที่ดี แต่เกิดขึ้นจากคนในวงเล็กๆ ที่คิด อนุมัติ และจัดจ้างให้ศิลปินวาดภาพในทันที

          โดยยังไม่ได้ประชาสัมพันธ์ หรือสอบถามความคิดเห็น ให้คนในท้องถิ่นทราบ ถึงจุดประสงค์ในการทำ และต้องการจะสื่อสารอะไรออกไป เพื่อทำความเข้าใจในวงกว้าง ก่อนที่จะลงมือทำจริง

           คนที่มาพบเห็นก็แห่กันไปถ่ายรูป แชะ แล้ว แชร์ โดยไม่รู้ที่มาที่ไป จนกลายเป็นกระแสดังในโลกออนไลน์ ทำให้วัยรุ่นอยากไปถ่ายรูปที่นั่นกัน เพื่อความชิคตามไลฟ์สไตล์ของโซเชียลเนตเวิร์ค

          แต่ผลที่ได้รับกลับไม่เป็นที่พอใจของคนท้องถิ่น ที่ดูว่าขัดต่อวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ควรสอบถามความคิดเห็น และประสานงานกับหลายๆ ฝ่ายเสียก่อนว่าควรหรือไม่

          ท้ายที่สุดก็ถูกสั่งให้ลบภาพทิ้ง เปลืองงบประมาณแม้จะเป็นงบของเอกชนก็ตาม และที่สำคัญเสียความรู้สึกไปตามๆ กันกับเรื่องที่เกิดขึ้น ในแบบที่ไม่น่าเกิดขึ้นเลย

______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

แบบทดสอบความถนัด


          สิ่งหนึ่งที่คนรุ่น Gen X ยุคก่อนที่อินเตอร์เน็ตจะเป็นที่แพร่หลายและเข้าถึงง่ายเหมือนในทุกวันนี้ ที่ใครๆ ต่างก็สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่ายแค่เพียงปลายนิ้ว

          ในสมัยก่อนการจะค้นคว้าหาข้อมูลอะไรสักอย่าง เช่นการทำรายงานในมหาวิทยาลัย ต้องนัดรวมพลกันเพื่อไปสิงสถิตอยู่ตามห้องสมุด แบ่งหัวข้อ และหมวดหมู่ กันไปคนละหัวข้อ

          ขณะที่ทุกวันนี้ เด็กประถมนัดทำการบ้านกันทางไลน์ เด็กมัธยมและเด็กมหาวิทยาลัย ค้นคว้าหาข้อมูลกันทางอินเตอร์เน็ต และคุยสดผ่านช่องทางการสื่อสารออนไลน์แบบเรียลไทม์

          แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่คนรุ่น Gen X ต่างอิจฉาคนรุ่นนี้ นั่นคือ มีแบบทดสอบความถนัด ให้ได้ทดสอบ และได้รู้ว่าตัวเองนั้น ถนัดในเรื่องไหนเป็นพิเศษ และเหมาะที่จะทำอาชีพอะไร

          เพราะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนักสำหรับคนรุ่นก่อนอินเตอร์เน็ต ที่จะไปหาสถาบัน ที่จะมาทดสอบเรื่องนี้ และหากมีก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง จึงจำกัดอยู่แค่คนในวงเล็กๆ เท่านั้น

          ในทุกวันนี้ยังเคยได้ยินเพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องบางคนยังแอบบ่นว่า ไม่รู้ว่าตัวเองถนัดอะไร ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

          เพราะคนรุ่น Gen X เรียนและทำงานตามบรรทัดฐานของสังคม ว่าควรเรียนสายอะไร ควรประกอบวิชาชีพอะไร ที่เป็นที่ต้องการโดยยึดบรรทัดฐานของสังคมเป็นหลัก โดยไม่ได้เลือกเองเลย

          นั่นเลยทำให้ตัวเองก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองถนัดอะไร ถนัดด้านไหน ถนัดแนวไหน เพราะทำตามๆ เค้าไป ตั้งแต่วัยเรียนจวบจนวัยทำงาน

          ส่วนเด็กรุ่นใหม่ คุณพ่อคุณแม่และคุณครู จะให้ทำแบบทดสอบเพื่อวัดความถนัดของลูกตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อจะได้มุ่งเน้น เสริมสร้างทักษะในด้านนั้นๆ ไม่ว่าจะแนววิชาการ หรือแนวศิลปะ

          จนเกิดสถาบันเปิดสอนเพื่อเสริมสร้างทักษะอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเรียนเสริมด้านดนตรี ด้านร้องเพลง ด้านเต้นรำ ด้านวาดภาพ ด้านคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่ทางด้านกีฬา

          ซึ่งน้องเมย์ขวัญใจคนไทยในนาทีนี้ คงเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ที่สามารถทะยานขึ้นเป็นนักแบดมินตันหญิงเดี่ยว มือ 1 ของโลกภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีนับจากการเล่นอาชีพ

          โดยส่วนตัวแล้วมักจะแนะนำให้เพื่อนๆที่มีลูกให้ลูกไปวัดแบบทดสอบความถนัด จะได้รู้ว่าควรจะให้ลูกมุ่งไปด้านไหน เพื่อเป็นการปูทางและวางแผนการล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ

          และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ เวลาที่ลูกทำคะแนนกับวิชาอะไรที่ออกมาไม่ดี ก็จะได้รู้ด้วยว่าที่เค้าทำคะแนนได้ไม่ดีนั้น เป็นเพราะวิชาที่เค้าไม่ชอบหรือปล่าว ซึ่งหากว่าใช่ ก็ขอให้เรียนผ่านเกณฑ์มาเป็นอันใช้ได้แล้ว จะได้ไม่เป็นการบังคับเคี่ยวเข็ญหรือคาดหวังมากจนเกินไป จนอาจทำให้กลายเป็นปัญหาภายในครอบครัวได้ค่ะ


______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559

ความภูมิใจของคนเป็นพ่อแม่



          เมื่อวันก่อนนั่งรถผ่านร้านรับซื้อขายของเก่าเล็กๆ ที่อยู่ในซอยแถวบ้าน มีการจัดมินิคอนเสิร์ต พร้อมโต๊ะจัดเลี้ยงแบบโต๊ะจีนอยู่ประมาณ 4 - 5 โต๊ะ

          นึกในใจตอนแรกว่าสงสัยจะเป็นการจัดเลี้ยงลูกจ้างของที่ร้านหลังกลับบ้านไปช่วงสงกรานต์เป็นแน่เลยทีเดียว

          แต่พอขากลับถึงได้เห็นว่า แท้จริงแล้วเป็นงานเลี้ยงฉลองลูกสาวรับปริญญา เพราะมีคำว่า Congratulation พร้อมรูปลูกสาวในชุดครุยที่แผ่นป้ายบนเวที

          นี่ล่ะน่ะที่เค้าเรียกว่าความภูมิใจของคนเป็นพ่อแม่ ที่กว่าจะเลี้ยงลูกตั้งแต่ตัวน้อยๆ จนเติบใหญ่ เข้าเรียนในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย จนกระทั่งจบปริญญาตรี

          แม้ว่าในสมัยนี้เด็กรุ่นใหม่หลายๆคนที่อาจจะคิดว่า ไม่ใส่ใจกับเรื่องใบปริญญาบัตรใบเดียว โดยอาจมุ่งเน้นทางด้านทำธุรกิจ ทำมาค้าขายออนไลน์ หรือทำกำไรจากการเล่นหุ้นกันมากกว่า

          แต่ในสายตาของคนที่เป็นพ่อแม่แล้ว ยังไงก็ย่อมอยากเห็นใบปริญญาบัตรของลูก เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจว่าลูกชั้นเรียนจบในระดับปริญญาพร้อมสมัครงานได้ไม่อายใคร

          และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่าตัวพ่อแม่เอง ไม่ได้จบในระดับปริญญาด้วย ยิ่งต้องอยากให้ลูกได้เรียนสูงๆ โดยหวังว่าชีวิตจะได้ดิบได้ดีกว่าตัวเองอย่างที่ผ่านมา

          แอบอมยิ้มเล็กๆ และร่วมแสดงความยินดีกับเค้าไปด้วย ที่น้องเค้าได้ทำให้คนเป็นพ่อแม่ได้ภาคภูมิใจอย่างยิ่งและจัดงานเลี้ยงฉลอง ครั้งนี้ขึ้นมา

______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***


วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

ซอมบี้ที่รัก



ช่วงนี้มีหนังซอมบี้ออกมาฉายให้ชมกันเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นหนังใหญ่ หรือจะเป็นซีรีย์ก็ตามที จนเริ่มอินตามว่าในอนาคตอันใกล้นี้ มันต้องกลายเป็นเรื่องจริงไปแล้วแน่ๆในเร็ววัน

จนเริ่มรู้สึกว่าเราต้องจับสาระกับการดูหนังซอมบี้แล้ว เพื่อเอามาปรับใช้หากเกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ดูเพื่อความบันเทิงอย่างเดียวอีกต่อไป

ว่าแล้วก็เลยนึกถึงหนังเรื่องซอมบี้ที่เคยดูมาว่าชอบเรื่องอะไรกันบ้าง

28 days later / 28 weeks later

หนังเรื่องแรกๆของซอมบี้ที่ได้ดูเลย เป็นการแนะนำให้รู้จักว่าซอมบี้เป็นเช่นไร โทนหนังออกแนวซอมบี้เวิ้งว้างตามสไตล์หนังอังกฤษ

Resident Evil 1-5

หนังซอมบี้ทะลุไซไฟ นางเอกเท่ฝุดๆ แอ๊คชั่นกระหน่ำตามสไตล์ โดยเฉพาะฉาก "เฉือน" ที่ติดตาในภาคแรก

I am legend

เรียกว่าเป็น Cast Away เวอร์ชั่นซอมบี้เลยก็ว่าได้ ดูแล้วได้สาระในการชีวิตหลังคนทั้งเมืองกลายเป็นซอมบี้ได้เป็นอย่างดี แอบสงสารน้องหมา T_T

Warm Bodies

ซอมบี้ที่รัก หนังรักโรแมนติก ที่เอาเรื่องซอมบี้มาผสมผสาน ได้อย่างน่ารักน่าชัง ที่สำคัญพระเอกในเรื่องน่ารักฝุดๆ ทำเอาเคลิ้มตาม

World War Z

หนังซอมบี้วิ่งไปโอลิมปิก เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าหากจะหนีซอมบี้ต้องฝึกวิ่งเร็ว วิ่งทำลายสถิติโอลิมปิกได้ยิ่งดี โอกาสรอดสูง

iZombie

ซีรี่ย์ซอมบี้ยังสเตอร์ ซอมบี้ฝึกหัดหาญสู้กับซอมบี้ตัวฉกาจ แถมมีการครีเอทเมนูอาหารจานเด็ดในแบบเกร๋ๆ ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่า หรือซูชิ ที่มีส่วนของเอิ่มมม "สมอง" อาหารโปรดของชาวซอมบี้

The Walking Dead

ซีรีย์ซอมบี้สุดฮิตของใครหลายคน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าซอมบี้มา ยิงหัวก่อนอันดับแรกแล้วค่อยว่ากันอีกที แล้วอีกเรื่องที่สำคัญคือ "คนเรานี่แหละที่น่ากลัวกว่าซอมบี้หลายเท่า"

พูดถึงเรื่องนี้แล้ว อดเคืองไม่ได้ ที่อีตาผู้กำกับตัดจบในตอนล่าสุดแบบดื้อๆ โดยไม่ยอมบอกว่าใครที่ตาย ให้รู้แค่ว่ามีใครสักคนนึงในทีมฝั่งพระเอกที่ต้องตาย แล้วตัดจบดื้อๆ เฮ้ยย มันใช่ปะวะ!

เท่าที่หาข้อมูล เหมือนจะมีการกั๊กเอาไว้ แล้วรอดูผลสำรวจ หรือเรตติ้งของตัวละครคนไหนที่เหลืออยู่ในทีมฝั่งพระเอกว่า ใครที่เรตติ้งน้อยสุด จะมีสิทธิ์ได้รับเลือกให้เป็นตัวละครที่ตาย เหมือนถูกโหวตให้ออก

อืมม เล่นง่ายๆ แบบนี้เลยนะ หากเป็นละครบ้านเราผู้กำกับคงโดนด่าเละ เพราะบทละครบ้านเราต้องจบแบบบริบูรณ์ ไม่ว่าจะจบแฮปปี้เอนดิ้ง จบโศรกเศร้าโศกาอาดูร ก็ต้องจบให้ครบถ้วนบริบูรณ์

เห็นฉากตัดจบแบบสะบัดบ็อบแล้วเดินจากไป ปล่อยให้คนดูอ้าปากค้าง พร้อมทำตาปริปๆ แล้วนึกถึงภาพแคปชั่นในไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์สุดฮิตกับประโยคเด็ดที่ว่า

"ชั้นเป็นผู้กำกับ ชั้นจะทำให้ฉากจบเป็นอย่างไรก็ได้"

 

"แต่ว่าแก...จะมาทำฉากจบแบบค้างๆคาๆแบบนี้ ม่-า-ย-ด้-า-ย"


(กรุณานึกภาพประกอบตามไปด้วย เพื่ออรรถรสในการอ่าน)

______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559

เทคนิคการเลือกประกันภัยรถยนต์



          วันก่อนมีโอกาสได้คุยกับพี่คนนึงที่เพิ่งจะขับรถได้ไม่นาน แล้วไม่แน่ใจว่าจะเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์แบบไหนดี พอดีว่าช่วงนี้มีข้อมูลเรื่องนี้อยู่พอดี วันนี้เลยอยากเอาแบ่งปันกันค่ะ

1) ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1


          ประกันภัยรถยนต์ประเภทนี้จะครอบคลุมในทุกกรณี ไม่ว่าจะเกิดการสูญหาย หรือเกิดอุบัติเหตุจากคู่กรณีที่เป็นรถคันอื่น หรือเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ทราบสาเหตุเลยก็ตาม 
 

          เหมาะกับ 

  1. รถใหม่ป้ายแดง และรถที่มีอายุไม่เกิน 5 ปี เพราะด้วยความที่รถยังใหม่ จึงเสี่ยงต่อการสูญหาย
  2. คนขับป้ายแดง อันนี้คงเข้าใจกันดีว่า โอกาสที่รถจะมีแผลถลอกรอบคันเกิดได้ตลอดเวลา
  3. รถที่ใช้งานเป็นประจำ เพราะการใช้งานของรถ ที่ออกมาวิ่งตามท้องถนน วิ่งงานต่างจังหวัด ทำให้เกิดความเสี่ยงได้สูงกว่ารถที่ขับออกจากบ้านแล้วมาจอดไว้ที่ออฟฟิศ

2) ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 พิเศษ / 2+


          หรือที่เรียกกันแบบง่าย ๆว่า ประกันชั้น 2 พลัส ประกันภัยรถยนต์ประเภทนี้จะรองลงมาจากแบบแรก โดยจะคุ้มครองในกรณีรถสูญหาย หรือเกิดไฟไหม้ แต่จะไม่คุ้มครองความเสียหายทั่วไป ในกรณีที่เกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่ชนกับคู่กรณี

          เหมาะกับ 

  1. รถใช้งานเป็นประจำ อย่างที่กล่าวไปแล้วว่ารถใช้งานเป็นประจำ ย่อมมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติ
  2. รถที่ต้องจอดไว้หน้าบ้าน หรือต้องจอดไว้ริมถนน เนื่องจากไม่มีไม่มีโรถรถหรือที่จอดรถประจำ
  3. รถของพ่อค้าแม่ขาย ที่ไม่อยากเสียเงินเยอะในการทำประกันภัยรถยนต์แบบแรก ก็สามารถพิจารณาแบบนี้เป็นทางเลือก เพราะอย่างน้อยก็ยังอุ่นใจกว่า หากเกิดอะไรขึ้นมาโดยไม่คาดคิด

3) ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 พิเศษ / 3+


          หรือที่เรียกกันแบบง่าย ๆว่า ประกันชั้น 3 พลัส ค่าเบี้ยจะต่ำสุด และการคุ้มครองก็จะต่ำสุดเช่นกัน โดยจะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายสำหรับทรัพย์สินของคู่กรณี และความเสียหายของตัวรถ เฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นจากการชนกับคู่กรณีเท่านั้น แต่จะไม่คุ้มครองสำหรับกรณีรถสูญหายหรือเกิดไฟไหม้ และไม่คุ้มครองหากเกิดจากความเสียหายอื่นๆที่ไม่มีคู่กรณี
 

          เหมาะกับ 

  1. รถมีอายุเกิน 7 ปี ถึงแม้ว่ารถจะเก่าแล้ว แต่การทำประกันภัยไว้ย่อมอุ่นใจมากกว่าไม่มีเลย
  2. รถใช้งานเป็นประจำ อย่างที่กล่าวไปแล้วว่ารถใช้งานเป็นประจำ ย่อมมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติ

          ลองพิจารณาเพื่อเลือกซื้อหรือเลือกต่อประกันภัยรถยนต์ในแบบที่ใกล้เคียงกับอายุรถ และลักษณะการใช้งานของรถกันดูนะคะ เผื่อจะเป็นการช่วยให้ประหยัดค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์กันได้บ้าง ในยามสภาพเศรษฐกิจยุคฝืดเคืองเช่นนี้ค่ะ

______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

เรียนรู้เพื่ออยู่รอด

    

          ขณะที่ดูข่าวคราวแผ่นดินไหวที่เมืองคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น ก็จะได้เห็นข่าวถึงความมีระเบียบวินัยของคนญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นโซนที่พักพิงชั่วคราวที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ และการเข้าคิวเพื่อรอรับการช่วยเหลือในด้านต่างๆ ทำให้เป็นที่น่าประทับใจต่อผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก

          เรื่องวินัยนี้คนญี่ปุ่นได้รับการปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆ และได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จนฝังลึกลงไปกลายเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมของคนที่นั่น โดยทุกคนต่างทราบถึงความสำคัญของระเบียบและวินัย ส่วนหนึ่งอาจด้วยเพราะประเทศญี่ปุ่นต้องประสบพบเจอกับปัญหาแผ่นดินไหวมาโดยตลอด

          ตอนที่ได้ไปเที่ยวยังเมืองคุมาโมโตะเพื่อเยี่ยมชมปราสาทของที่นี่ ในระหว่างการเดินทางที่ต้องนั่งรถไฟชิงกันเซ็ง โดยนั่งจากสถานีฮากาตะ จากเมืองฟุกุโอกะ มาลงที่สถานีคุมาโมโตะ แล้วต่อด้วยการขึ้นรถรางเพื่อไปชมความงามภายในตัวปราสาท

          ระหว่างทางที่ไปจะได้พบเห็นเด็กญี่ปุ่นตัวเล็กๆ ที่พ่อแม่ผู้ปกครองพาไปเที่ยวจะเดินด้วยตัวเอง ยกเว้นเด็กที่ยังเล็กอยู่จริงๆ ถึงจะมีพ่อแม่คอยอุ้มให้ ไม่ว่าระยะทางใกล้ไกลแค่ไหน ก็จะให้เด็กเดินด้วยตัวเอง และแทบไม่เห็นเด็กญี่ปุ่นร้องไห้งอแงระหว่างทางเลยแม้แต่คนเดียว

          จนมาค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมในอินเตอร์เน็ตถึงได้รู้ว่า คนญี่ปุ่นนั้นสอนให้ลูกตัวเองตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็กๆ ให้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้ใหญ่ ให้เด็กน้อย ได้รู้จักการเรียนรู้ และการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และต้องเดินทางไปโรงเรียนตั้งแต่วันแรกทีเริ่มเข้าเรียนในชั้นประถม

          ซึ่งตรงจุดนี้ที่แตกต่างจากบ้านเราอย่างมาก แต่แน่นอนว่าต้องทำความเข้าใจอย่างหนึ่งว่า คนญี่ปุ่นมีความเป็นจิตสาธารณะสูงและประเทศญี่ปุ่นเองก็มีความปลอดภัยสูงกว่าบ้านเราอย่างมาก การเดินทางไปไหนมาไหนก็ไม่อันตรายต่อเด็กเท่าไหร่นัก

          เพียงแต่อยากให้ผู้ปกครองคนไทยได้สอนให้ลูกรู้จักการเรียนรู้ และแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันด้วยตัวเองบ้าง อย่าเลี้ยงลูกให้เป็นเจ้าชายเจ้าหญิงมากจนเกินไปนัก เพราะแน่นอนว่าพอเด็กโตขึ้น เด็กจะรู้ว่าโลกในความเป็นจริงใบนี้ช่างแตกต่างกับโลกแฟนตาซีเสียเหลือเกิน

         หากเกิดอะไรขึ้นมาโดยไม่คาดคิด อย่างน้อยเด็กยังมีภูมิคุ้มกันในระดับหนึ่ง ที่สามารถคิดแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง ในยามที่พ่อแม่ผู้ปกครองไม่อยู่ด้วย เช่นในโรงเรียน เพราะแน่นอนว่าพ่อแม่ผู้ปกครองคงไม่สามารถอยู่กับลูกได้ตลอด 24 ชั่วโมง

         โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยรุ่นที่สภาพสังคมแวดล้อมเต็มไปด้วยสิ่งปนเปื้อนไม่ดีทั้งหลาย ที่อาจเข้ามาใกล้เด็กเมื่อไหร่ก็ได้ โดยที่พ่อแม่ผู้ปกครองไม่มีทางรู้ตัวล่วงหน้า ยิ่งควรปลูกฝังให้เด็กมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งมากกว่าปกติ เด็กจะได้คิดได้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวเด็กเอง

______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559

Singha Park International Balloon Fiesta 2016


โพสต์นี้ขอเปลี่ยนโหมดจากบล็อกเกอร์มาเป็นตากล้อง

เอาภาพบรรยากาศในงานประกวดบอลลูนนานาชาติ ณ ไร่บุญรอด จ.เชียงราย

เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์มาให้ชมกันค่ะ




























______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

สุขสันต์วันหยุด



       และแล้วเทศกาลวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ก็เดินทางมาถึงวันสุดท้ายกันแล้ว เชื่อว่าหลายๆคนที่ไม่ว่าจะไปเล่นน้ำ ไปเที่ยวทะเล ไปพักผ่อนช่วงวันหยุดที่ผ่านมา คงต้องเผชิญกับแสงแดดที่แผดเผากันจนผิวบ่มแดดใกล้สุกกันเต็มที่ วันนี้เลยจะขอมาเอาใจสาวๆด้วยวิธีการดูแลผิวหลังสู้แดดแสนสตรองกันค่ะ

  1. ควรทาครีมประเภท Cooling Balm เพื่อให้ความรู้สึกสบายผิว เพราะเจ้าตัวนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกเย็น สดชื่น และช่วยลดอาการแสบร้อนเนื่องจากผิวที่่ต้องเผชิญกับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานานๆ
  2. ดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ เพราะช่วงหน้าร้อนจะทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ง่ายกว่าเดิม และยังส่งผลร้ายต่อผิว ทำให้ผิวแห้งได้ง่ายขึ้นด้วย
  3. ขัดผิว เพื่อขจัดผิวที่่ตายแล้วออกไป เพื่อให้ผิวได้ผลัดเซลผิวใหม่ที่แข็งแรง และสดใสดังเดิม และอย่าลืมบำรุงด้วยมอยสเจอไรเซอร์ทุกครั้งหลังขัดผิวด้วยเพื่อการบำรุงผิว
  4. มาสก์หน้า เพราะการที่เราต้องออกไปสู้ศึกหนักกับแสงแดด และลมทะเล เป็นตัวทำร้ายผิวหน้า ดังนั้นวิธีนี้จะช่วยทำให้ผิวหน้าเรากลับมาชุ่มชื่นเร็วขึ้นเพื่อลดการทำ ร้ายผิวได้จากมากเป็นน้อย
  5. สปาบำรุงผิวหลัง ทริปทะเล การเข้าคอร์สสปาขัดผิวจะช่วยเร่งให้เซลผิวผลัดใหม่ได้เร็วขึ้น และสปานวดน้ำนมเพื่อบำรุงและปรนนิบัติผิวเพื่อความผ่อนคลายทั้งกายและใจ อย่างเต็มที่  
ด้วยเคล็ดลับง่ายๆเพียงเท่านี้ก็ช่วยให้สาวๆได้อวดผิวสวยแบบสตรองสำหรับทริปต่อไปกันแล้วค่ะ

______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

สงกรานต์หรือสงคราม



       เชื่อว่าหลายต่อหลายคนคงมีคำถามนี้อยู่ในใจ หลังจากได้ติดตามข่าวสงกรานต์เมืองไทยของเรา ไม่ว่าจะผ่านการรับชมทางช่องทาง ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ผ่านหน้าเวบไซต์ หรือแม้กระทั่งผ่านหน้าฟีดข่าวใน Facebook

       จากประเพณีรดน้ำดำหัวอันงดงามแบบไทยๆ เล่นน้ำกันแบบน่ารักๆ กลายเป็นสงครามแห่งการแสดงศักยภาพของกลุ่มวัยรุ่น ที่รอคอยงานนี้ชนิดที่ว่าหนึ่งปีมีหนเดียว ต้องจัดเต็มกันให้เป็นที่เลื่องลือ ให้คนอื่นต้องรับรู้ถึงความมีตัวตน และต้องแสดงความเก่งฉกาจเพื่อให้พรรคพวกได้เอาไปโจษจันกันต่อ

       เลยทำให้สงกรานต์กลับกลายเป็นสงครามกันไป เมากันไป เล่นน้ำกันไป พอมีการเขม่นกันเล็กน้อย ก็บานปลายกลายเป็นปัญหาระดับชาติ ต้องไล่ยิง ปาระเบิดถล่มกัน หรือที่หนักกว่านั้น คือมีปัญหากระทบกระทั่งกันมาอยู่ก่อนหน้าแล้ว แต่ถือเอางานเทศกาลมาเป็นโอกาสอันดีที่จะปิดเกมส์คู่อริ

       รวมถึงเหล่าเด็กแวนซ์ที่มากันเป็นหมู่คณะ ขับขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวนไปตามตรอกซอกซอย เมากันไป เล่นน้ำกันไป ขณะขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่ดัดแปลงแต่งองค์ตามสไตล์สายแวนซ์ ล้อยางยิ่งเล็กยิ่งเท่ ซึ่งยิ่งทำให้ลื่นล้มต่อการขับขี่บนถนนที่เปียกได้โดยง่าย

       ยิ่งไปกว่านั้นคือการปิดช่องทางจราจรเพื่อทำการแข่งรถกันเองบนท้องถนนสายหลัก ทำเอาการจราจรเป็นอัมพาตไปเลย เพราะรถไม่สามารถสัญจรไปมาได้ แล้วทุกคนต่างก็ต้องตั้งคำถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควรดูแลอำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้กับประชาชนหายไปไหน

       นี่ยังไม่รวมถึงข่าวคราวของอุบัติเหตุบนท้องถนนที่มีให้เราได้ยิน ได้เห็นกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเมาแล้วขับ หรือคนขับหลับใน ไม่ว่าจะรถยนต์ส่วนตัว หรือรถโดยสารประจำทาง ทั้งรถทัวร์ และรถตู้

       อย่าให้เทศกาลสงกรานต์กลายเป็นวิธีการคัดกรองสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งสุด ตามกระบวนการของวิวัฒนาการ โดยทฤษฎีกล่าวไว้ว่า การแปรผันทางพันธุกรรมเป็นผลมาจากการอยู่รอด และการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต

______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***


วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559

ว่าด้วยเรื่องราวของเด็กๆ

    

หลังจากจบภารกิจจับปูใส่กระด้งสองวันผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีเวลาได้กลับมาอัพบล็อกเล่าเรื่องราวของเด็กๆ กับกิจกรรมวันเด็กเนื่องในวันสงกรานต์ที่ผ่านมาให้ฟังกัน

        น้ำกับเด็กเป็นของคู่กันแบบแยกไม่ออกจริงๆ เด็กๆจะแวะเวียนมาถามว่าจะเล่นได้หรือยัง ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเปิดงาน และพอเริ่มเปิดงานตอนเที่ยงตรง เด็กทุกคนต่างพร้อมกระโจนเพื่อเล่นสไลเดอร์ตัวเก่งสุดโปรดของเด็กๆประจำงานและพอสไลด์ลงมาเด็กทุกคนต่างออกปากว่า สุดยอด ตื่นเต้น และสนุกมาก

       เด็กที่มาเล่นมีด้วยกันหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็น เด็กพื้นที่ เด็กที่เป็นลูกหลานของพ่อค้าแม่ขายในบริเวณศูนย์อาหาร เด็กที่เป็นลูกหลานของเจ้าของร้านค้าที่มาเช่าพื้นที่เปิดร้านในบริเวณศูนย์การค้า มีเด็กที่พ่อแม่ผู้ปกครองพามาเพื่อมารับประทานอาหารตามร้านค้าที่เปิดในศูนย์การค้า

       ทักษะในการเล่นสไลเดอร์ของเด็กแต่ละรูปแบบ ก็แตกต่างกันจากความหลากหลาย เด็กพื้นที่ เด็กที่เป็นลูกหลานของพ่อค้าแม่ขายในบริเวณศูนย์อาหาร มาพร้อมกับความความแก่น แสบ และมีทักษะการเอาตัวรอดสูงอยู่ในตัว ไม่ต้องกังวลว่าเล่นแล้วจะเจ็บตัว เรียกว่าสู้ไม่ถอยทั้งวัน

       เด็กที่เป็นลูกหลานของเจ้าของร้านค้า กับเด็กที่ผู้ปกครองพามา ตรงนี้น่าสนใจ เพราะแล้วแต่ละสไตล์ของผู้ปกครองและตัวเด็กเอง บางครอบครัวชิลชิล ก็ปล่อยให้ลูกขึ้นเล่นตามสบาย แล้วแต่ที่ลูกต้องการ อาจมีเจ็บตัวบ้างเล็กน้อยตามความเร็วและแรงที่ลงมาก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร

       แต่หากเป็นบางครอบครัวที่่ค่อนข้างจะเป็นห่วงในสวัสดิภาพความปลอดภัยของลูกหลานมากเป็นพิเศษ พอเห็นความเร็วและแรงของลูกตนเองที่ลงมาจากสไลเดอร์ก็เอ่ยปากว่าเล่นรอบเดียวพอแล้วลูก ทั้งๆที่ตัวเด็กเองยังอยากจะเล่นอีกรอบ

       แต่ที่เด็ดสุดคือ ลูกของครอบครัวฝรั่งที่มาพำนักอาศัยในประเทศไทย แล้วไม่ได้มีทริปพาครอบครัวไปไหน ก็พาลูกมาเที่ยวเล่นน้ำเนื่องในวันสงกรานต์ ปล่อยให้ลูกเล่นกันเต็มที่ ส่วนพ่อแม่ชิลแบบสุดๆ อาจด้วยเพราะ เด็กฝรั่งแทบทุกคนมีทักษะทางด้านกีฬาสูงแทบทุกประเภท ประหนึ่งถ่ายทอดกันทางดีเอ็นเอ ขนาดเห็นตัวเล็กๆ แต่ทักษะในการเล่นสไลเดอร์ขั้นเทพ

       สามารถสไลด์ตัวเองให้แล่นลงมาได้เร็วและแรงกว่าเด็กไทย เรียกว่าไถลได้ไกลเทียบเท่าเด็กไทยที่โตกว่าและมีน้ำหนักเยอะกว่ามาก ทำเอาแม้แต่เด็กพื้นที่แถวนั้นต่างยังต้องยอมยกนิ้ว และยินดีให้เข้าร่วมกลุ่มเล่นสไลเดอร์ไปด้วยกัน แม้ว่าจะคุยกันคนละภาษาก็ตามที

       เด็กก็คือเด็ก ไม่ว่าจะมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ สังคม และวัฒนธรรม แต่ต่างก็สามารถเล่นด้วยกันได้อย่างมีความสุข เรื่องนี้ทำให้คิดว่าบางทีผู้ใหญ่เองก็น่าจะเรียนรู้อะไรจากเด็กบ้างนะคะ

______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

สงกรานต์นี้ไปไหนดี


วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทำงานแล้วนะคะเพื่อนๆ แต่มีใครอีกหลายคนที่ได้หยุดยาวตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา เทศกาลมหาสงกรานต์ของไทยเราเวียนมาบรรจบครบรอบกันอีกปี สำหรับที่ใครๆยังนึกไม่ออกว่า สงกรานต์นี้ไปไหนดี เลยมานำเสนอเรื่องนี้กันเผื่อใครจะได้ไอเดียขึ้นมาบ้างค่ะ

  1. สายบุญ 

    ใครที่ชื่นชอบไหว้พระทำบุญ หรือเดินสายไหว้พระเก้าวัด เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว ขอนำเสนอวาระพิเศษในเทศกาลสงกรานต์นี้ที่ถนนในกรุงเทพฯจะโล่งมากแบบหนึ่งปีมีครั้ง ลองถือโอกาสนี้ไปไหว้พระทำบุญในวัดกรุงเทพฯชั้นใน โดยเริ่มต้นตั้งแต่สนามหลวง ไหว้พระพุทธสิหิงค์ ณ มณฑปที่ทางกทม.จัดเตรียมไว้ แล้วก็ไล่เรียงกันไป ไม่ว่า วัดพระแก้ว วัดโพธิ์ นั่งเรือข้ามฝั่งไป วัดอรุณ วัดระฆัง แล้วก็ข้ามฝั่งกลับมารับประทานเที่ยง แล้วต่อด้วย วัดชนะสงคราม ศาลเจ้าพ่อเสือ วัดสุทัศน วัดสระเกศ ครบเก้าวัดภายในวันเดียวที่จะหาโอกาสเช่นนี้ได้ยากยิ่งนัก
  2. สายทะเล

    ใครที่ชื่นชอบท่องเที่ยว ร้อนๆเช่นนี้ ทะเลย่อมเป็นตัวเลือกแรกๆ ใครที่ไม่ชอบขับรถไปไกลมากนัก ก็นี่เลย บางแสน พัทยา ชะอำ หัวหิน ส่วนใครที่อยากเที่ยวทะเลด้วยแล้วอยากแวนซ์มอเตอร์ไซค์ขับเที่ยวรอบเกาะได้ด้วย อันนี้แนะนำ เกาะสีชัง เกาะล้าน  หรือใครอยากไปนอนเล่นชิลๆฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ณ ริมทะเลสักคืนสองคืน ก็มี เกาะเสม็ด เกาะช้าง หรือ เกาะกูด ให้เลือก
  3.  สายสวนน้ำ

    ตอนนี้กำลังได้รับความนิยม แล้วมีตัวเลือกเปิดให้บริการกันมากมายหลายที่ แล้วแต่ความชอบในสไตล์การออกแบบหรือธีมของสวนน้ำนั้นๆ ก็เลือกกันตามความพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็น สวนน้ำวา นาวา สวนน้ำ ซานโตรินี วอเตอร์ แฟนตาซี สวนน้ำ แบล็ค เมาน์เทน ฝั่งหัวหิน หรือจะเป็น สวนน้ำ การ์ตูน เน็ทเวิร์ค อเมโซน ฝั่งพัทยา หรือจะเป็นที่ใหม่ล่าสุด เดอะ ซีนิคอลเวิลด์ เขาใหญ่ สวนน้ำจูราสสิค วอเตอร์ปาร์ค นครปฐม หรือใครไม่อยากขับรถไกล ก็แนะนำที่นี่เลย โพโรโระ อควา พาร์ค กรุงเทพฯ เซ็นทรัลพลาซา บางนา ชั้น 6 ตกแต่งด้วยธีมการ์ตูนโพโรโระ ซีรี่ย์ฮิตจากเกาหลี 
  4.  สายชิคชิมชิล

    ใครที่ชอบเที่ยวสถานที่ชิคชิค เน้นไปเที่ยวแล้วถ่ายรูปเพื่ออัพลงเฟซ แชร์ให้เพื่อนๆได้เห็นว่าเที่ยวสถานที่ยอดฮิตแล้วละก็ ต้องไม่พลาดกับสถานที่ยอดนิยมเหล่านี้เช่น โซนพัทยา ก็มี มิโมซ่า พิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ โซนหัวหิน ก็ไล่ไปตั้งแต่ ซานโตรินี พาร์ค เวเนเซีย คาเมล รีพับพลิก สวิส ชีพ ฟาร์ม เพลินวาน ที่อยู่ในบริเวณไม่ไกลกันมาก และยังสามารถแวะเดิน ตลาดซิคาด้า หัวหิน ตอนค่ำได้อีกด้วย หรือใครไม่อยากขับรถไกล ก็ต้องที่นี่เลย เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ หรือจะเป็น ท่ามหาราช เดินเล่นรับลมยามเย็น แล้วนั่งรับประทานอาหารค่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แค่นี้ก็ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศชาวเมืองกรุงฯกันอย่างเต็มที่
  5. สายอีเวนท์

    สงกรานต์เมษาผ้าขาวม้า จัดกิจกรรมที่สยาม ใครที่ชื่นชอบบรรยากาศสงกรานต์ในแบบไทยๆ  พร้อมตลกแก็ง 3 ช่า ฟรีตลอดงาน งานมีวันที่ 13-15 เมษายน ตั้งแต่ 6 โมงเย็น
    Bangkok Songkran Festival 2016 @ Central World ปาร์ตี้โฟมบนลานกว้าง ณ Central World กับกิจกรรมหลายหลาย ฟรีตลอดงาน ตั้งแต่วันที่ 13-15 เมษายน
    Wild & Wet Songkran Festival at Superflow ธีมงานสไตล์แฮงเอาท์ ยกชายหาดกับบรรยากาศริมทะเล มาไว้ที่ทำเลถนนข้าวสาร แบ่งออกเป็นหลายโซน มีทั้งโอเพ่นแอร์ และริมระเบียง พร้อมมี DJ นานาชาติ งานมีวันที่ 12 - 15 เมษายน ค่าบัตร 250 บาทพร้อม 1 ดริ๊งค์
    (อันนี้แค่ยกตัวอย่างบางอีเวนท์มาให้ดู หากว่าใครเป็นสายปาร์ตี้ตัวจริงลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูค่ะ)
ไม่ว่าใครจะเลือกไปสายไหนก็ตาม ขอให้ทุกคนสนุกอย่างมีสติกับเทศกาลมหาสงกรานต์กับวันหยุดยาวเช่นนี้ และเดินทางไปกลับโดยสวัสดิภาพ ที่สำคัญ "เล่นน้ำอย่างประหยัด" และ "เมาไม่ขับ" เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและเพื่อนร่วมทางคนอื่นค่ะ

______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2559

สไตล์รถกับสไตล์ผู้หญิง



ปกติเป็นคนชอบอ่านบทความเกี่ยวกับจิตวิทยา ประเภททายนิสัย ทายใจ จากเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งมักจะเห็นว่าเปรียบเทียบผู้ชายกับรถอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เห็นมีเปรียบเทียบผู้หญิงกับรถกันบ้างเลย วันนี้เลยมานั่งคิดเล่นๆ ว่าหากจะเขียนในแบบฉบับของผู้หญิงบ้างจะเป็นเช่นไร ว่าแล้วก็เริ่มกันเลยแบบเขียนสดๆ กรั่นกรองจากหัวสมองออกมาเป็นตัวอักษรผ่านปลายนิ้ว เพื่อเป็นการฝึกกระบวนการคิดทางสมอง ฝึกกระบวนการเขียนบทความ เพื่อความสด ใหม่ ในงานเขียนลงบล๊อกประจำวัน

กระบะอีซูซุ แน่นอนว่าพอนึกถึงกระบะอีซูซุเราจะนึกถึง ความแข็งแรง บึกบึน ทนงานหนัก ประหยัดน้ำมัน ไม่เปลืองค่าดูแลรักษา เปรียบเสมือน ผู้หญิงที่มีความแกร่ง อึด แข็งแรง ไม่ค่อยชอบแต่งตัวเท่าไหร่นัก ทนงานหนักได้โดยไม่ปริปากบ่นสักคำ โดยมากมักจะทำงานประกอบธุรกิจเป็นของตนเอง สโลแกน "หนักแค่ไหน ศรีทนด้ายยย"

โตโยต้า วีออส จะเห็นรถรุ่นนี้อยู่บ่อยครั้งที่คนมักใช้กันตามท้องถนนทั่วไป  ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่มีดีไซน์ไม่โดดเด่นเท่าไหร่นัก แต่ก็เป็นรถบ้านที่ใช้งานได้ดี ไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิกกวนใจเท่าไหร่ เปรียบเสมือน ผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดาๆ ไม่ได้มีบุคลิกอะไรโดดเด่น ไม่เรื่องมาก ดูแลตัวเองได้ แต่มีความเพียบพร้อมที่จะเป็นแฟนหรือแม่บ้านที่ดี สโลแกน "ให้ชั้นดูแลเทอ...ต้องเวอร์ชั่นใหม่ร้องด้วยนะ" 

ฮอนด้า แอคคอร์ด รถยนต์ซีดานรุ่นยอดนิยมของผู้หญิง เป็นรถยนต์นั่งที่ให้ความหรูหรา สะดวกสบาย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกล้ำสมัย เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ เปรียบเสมือน ผู้หญิงทำงานเก่ง  ไม่ว่าจะในเรื่อง ความคิด ความอ่าน และการดูแลตัวเอง ทำได้ดีเทียบเท่าผู้ชาย แต่ก็ยังมีความรักสวยรักงามตามสไตล์ผู้หญิง สโลแกน "ชั้นสวย ชั้นรวย ชั้นเก่ง และ...ชั้นฉลาดมาก"

ฮอนด้า ซีอาร์วี รถยนต์เอสยูวีรุ่นยอดนิยมของผู้หญิง เป็นรถยนต์นั่งเอนกประสงค์ เน้นรูปลักษณ์ที่สวยงาม สามารถตอบสนองการใช้งานได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าวันที่จะต้องการลุย หรือวันที่ต้องการหรู เปรียบเสมือน ผู้หญิงที่เป็น สาวห้าว สาวลุย แต่ก็รักความสวยงาม ชอบแต่งตัว สามารถพลิกแพลงตามสถานการณ์ได้ สโลแกน "จะลุย จะสวย เจ๊ จัดให้"

มิตซูบิชิ ปาร์เจโร่ รถยนต์เอสยูวี ที่เน้นดีไซน์ให้ความรู้สึกเป็นรถสปอร์ตพันธุ์ดุ สไตล์ออฟโรดตัวจริง ไม่ว่าจะทางราบ ทางชัน ขึ้นเขา ลงห้วย เปรียบเสมือน ผู้หญิงแนวแอดเวนเจอร์ ที่ชื่นชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง ชอบเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม ไม่ว่าจะเป็น วิ่งมาราธอน วิ่งมินิมาราธอน ปั่นจักรยาน ปีนเขา ปีนหน้าผา สโลแกน "ไปไหนไปกัน ขอให้ได้ไป"

เมอร์เซเดส เบนซ์ ลองนึกถึงแบรนด์แอมบาสเดอร์ของรถยี่ห้อนี้ดู แล้วคุณจะวาดภาพออก กับประโยคสุดฮิต ตัวแม่ก็คือตัวแม่วันยังค่ำ เปรียบเสมือน ผู้หญิงที่ สวย หรู ดูดี มีระดับไปทุกกระเบียดนิ้ว รักความสวยงามมากถึงมากที่สุดใส่ใจในการดูแลตัวเองให้ดูดีตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า แฟชั่นไอคอน แฟชั่นนิสต้าตัวแม่ แบรนด์เนมระดับโลกทุกชิ้น สโลแกน "สวย สตรอง สวย แพง กล้าทุ่มปะละ"

พอร์ช 911 เทอร์โบ S รหัส 991 หากเอ่ยถึงรถรุ่นนี้ คงจะพอเดาได้ว่าต้องการจะบ่งบอกถึงเซเลปตัวแม่ที่ครอบครองรถรุ่นนี้อยู่ และยังเป็นตัวแม่ในเรื่องการออกกำลังกายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีความมั่นใจในหุ่นตัวเองเกินร้อย พร้อมอวดหุ่นสวยได้ทุกที่ทุกเวลา เปรียบเสมือน ผู้หญิงที่ มีความมั่นใจในตัวเองมาก รักการออกกำลัง รักความท้าทาย เซ็กซี่ กล้าที่จะลองสิ่งใหม่ สโลแกน "กล้าไป ก็ได้ใจ"

เขียนเพิ่มเติม


สาว BTS เป็นคนหัวสมัยใหม่ ยอมรับในความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ไว้ใจได้ มีความรับผิดชอบ เพราะมักจะเป็นคนตรงต่อเวลา (หากรถไฟฟ้าไม่เสีย) และยังสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ตลอดเวลา (หากว่าเกิดกรณีรถไฟฟ้าเสีย)


เขียนเล่นขำๆ ให้ได้อ่านกันเพลินๆ หรืออยากนึกสนุกไปด้วย ก็ลองนึกเปรียบเทียบตัวเอง หรือเพื่อนสนิทคนข้างๆ ดูว่าเปรียบเป็นรถประเภทไหนกันดูนะคะ

______________________________________
หากใครมีบล๊อกที่ blogspot สามารถแอดกันมาได้ที่นี่ค่ะ
https://aorangel.blogspot.com/
***รับดูแลเพจแอดมิน ทางด้าน marketing content
เขียนบทความพร้อมภาพประกอบ email: aorpaka@gmail.com***